GoogleMapsคือบริการเกี่ยวกับแผนที่ผ่านเว็บบราวเซอร์ของGoogleเราสามารถเปิดเว็บไซต์จากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ เพื่อเปิดใช้บริการแผนที่ของGoogleMaps
ความสามารถของ Google maps กับงานช่าง และงานท้องถิ่น เช่น
1. สามารถใช้วางแผนการเดินทางได้
2. สามารถตรวจสอบระยะทางถนนได้
3. สามารถตรวจสอบความกว้างยาว ของพื้นที่ ต่างๆ ได้
4. สามารถตรวจสอบเนื้อที่ ของพื้นที่ ที่เราต้องการได้
5. สามารถนำแผนที่ไปใช้งานได้ในเว็บของเราเอง เช่นกำหนดที่ตั้งของ อบต.
6. สามารถประยุกต์สร้างฐานข้อมูลเพื่อการใช้งานเช่น ระบบแผนที่ภาษีได้
จากภาพด้านบนจะบนว่า รูปแบบการแสดงแผนที่ มี 3 รูปแบบหลักคือ
1. แบบแผนที่ ตามตัวอย่างด้านบนครับ แสดงเป็นเส้นทางถนน ดูง่าย ซูมขยายได้เต็มที่ แต่ มีข้อด้อยคือเรา ไม่เห็นว่า ภูมิประเทศเป็นเช่นไร เป็นแผนที่แบนเรียบ
2. แบบดาวเทียม ซึ่งก็คือภาพถ่ายดาวเทียมแบบเดียวกับ Google Earth ครับ ข้อดีคือ เห็นเหมือนของจริงเลย มีข้อด้อยคือบางพื้นที่ ภาพเดียวเทียมยังไม่ชัด
3. แบบภูมิประเทศ ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับ สามารถดูความสูงต่ำพื้นที่ได้ และก็มีรายละเอียด ถนนหนทางเหมือนแบบแผนที่
ตามที่เราทราบกันครับว่า Google maps เป็นบริการของ Google
เป็นบริษัท ของอเมริกา แต่ GooGle เองก็ให้ความสำคัญกับภาษาไทย เนื่องจาก จำนวนคนที่ใช้ภาษาไทย ก็ เกือย 5% ของ พลโลก
เว็บไซต์ของ Google maps คือ http://maps.google.com/ แต่หากต้องการให้เป็น ภาษาไทย ให้เติม ?hl=th ต่อท้าย ซึ่ง ?hl=th เป็นการกำหนดให้แสดงหน้าเว็บเป็นภาษาไทย ดังนั้น หากต้องการให้หน้าเว็บเป็นภาษาไทย ต้อง ใช้ http://maps.google.com/?hl=th
บริการต่างๆของ Google
สร้างรายได้ผ่านGoogle AdSense รายได้Google Adwords เกี่ยวกับGoogle
วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Google Blog คืออะไร?
Google Blog หรือ Blog Search เป็นเทคโนโลยีการค้นหาของ Google ที่เน้นเกี่ยวกับบล็อก Google เชื่อมั่นในปรากฏการณ์การเผยแพร่ข้อมูลด้วยตนเองโดยใช้บล็อก และเราหวังว่า Blog Search จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสำรวจอาณาจักรของบล็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และอาจเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนเข้าร่วมปรากฏการณ์ใหม่นี้ด้วยตนเอง ไม่ว่าคุณจะกำลังค้นหาบทวิจารณ์เกี่ยวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ ความคิดเห็นทางการเมือง สูตรสลัดสำหรับหน้าร้อน หรืออื่นๆ Blog Search ช่วยให้คุณสามารถค้นหาสิ่งที่ผู้คนพูดถึงเกี่ยวกับหัวข้อใดๆ ที่คุณต้องการ
ผลการค้นหาของคุณจะรวมบล็อกทั้งหมด ไม่เฉพาะบล็อกที่เผยแพร่ผ่าน Blogger เท่านั้น ดัชนีบล็อกของเราจะมีการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นคุณจะได้รับผลการค้นหาที่เป็นปัจจุบันและถูกต้องมากที่สุดเสมอ และคุณสามารถค้นหาได้ไม่เฉพาะบล็อกที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ยังสามารถค้นหาบล็อกที่เป็นภาษาฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน สเปน เกาหลี โปรตุเกสในบราซิล ดัตช์ รัสเซีย ญี่ปุ่น สวีเดน มลายู โปแลนด์ ไทย อินโดนีเซีย ตากาล็อก ตุรกี เวียดนาม และภาษาอื่นๆ ได้ด้วย
Blog Searchใช้อย่างไร?
เพียงพิมพ์คำที่คุณต้องการค้นหาในช่องข้อความและคลิก "ค้นหา" เท่านั้นเอง! หากคุณต้องการควบคุมการค้นหามากขึ้น ให้คลิกลิงก์ "การค้นหาขั้นสูง" ทางด้านขวาของปุ่มค้นหา ในลิงก์นี้ คุณจะพบตัวเลือกในการระบุชื่อเรื่อง ผู้เขียน ภาษา และอื่นๆ หลังจากที่คุณได้รับผลการค้นหาแล้ว จะมีลิงก์เพิ่มเติมที่ช่วยให้คุณสามารถสับเปลี่ยนระหว่างการแสดงผลการค้นหาต่างๆ พร้อมด้วยผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องมากที่สุดหรือผลการค้นหาล่าสุดที่ด้านบน
ในส่วนติดต่อเวอร์ชัน Blogger จะมีลิงก์ "ใช้ตัวเลือกการค้นหา" เพิ่มเติมที่ใต้ช่องค้นหา ซึ่งจะแสดงตัวเลือกขั้นสูงที่ใช้บ่อยที่สุดหลายตัวเลือก เช่น บล็อกที่ต้องการหรือช่วงวันที่ที่จะค้นหา เช่นถ้าหากเราต้องการSearch บล็อกเกี่ยวกับ Android ก็สามารถพิมพ์ที่ช่องข้อความแล้ว คลิก"ค้นหาบล็อก"
ดูตัวอย่างสอนวิธีการใช้ Google Blog
วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Google Analytics คืออะไร...
Google Analytics คืออะไร...
หลายคนคงรู้จักกันแล้ว....ว่า Google Analytics ก็คือ ตัวเก็บสถิติเกี่ยวกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมของคนที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซด์ รวมทั้งติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญการโฆษณา Adwords หรือโปรแกรมการโฆษณาอื่นๆ ด้วยข้อมูลนี้ จะทราบว่าคีย์เวิร์ดใดที่ได้ผล ข้อความโฆษณาใดมีประสิทธิภาพมากที่สุด และผู้เข้าชมเว็บไซต์ออกจากเว็บไซต์ที่จุดใด
ความสามารถหลัก ของ Google Analytics
Google analytics แบ่งความสามารถตามจุดประสงค์การใช้งานได้ดังต่อไปนี้คือ
- สถิติเกี่ยวกับ Visitor รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์
- สถิติเกี่ยวกับ Traffic รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางในการเข้าถึงเว็บไซต์
- สถิติเกี่ยวกับ Content รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถิติการเข้าชมเนื้อหาภายในหน้าเว็บไซต์
- สถิติเกี่ยวกับ Goal วิเคราะห์ว่าผู้ใช้งานเข้าถึงเป้าหมายภายในเว็บไซต์ได้อย่างไร
ง่ายๆก็คือ ....
...... ช่วยให้เรารู้ว่าผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์มาจากที่ไหน
...... เข้ามาดูที่หน้าใดบ้างในเว็บ
...... ใช้เวลาในการเข้าชมนานเท่าไหร่ แล้วไปไหนต่อ
...... หน้าเว็บใดที่ผู้เข้าชมหยุดดูเป็นเวลานาน และทำอะไรอยู่ในขณะที่หยุดดูอยู่
...... อะไรบนเว็บที่ขายดี แล้วขายไปมูลค่าเท่าไหร่ และกลับมาซื้อซ้ำหรือเปล่า บ่อยแค่ไหน
คุณสมบัติพิเศษ
ฟรี
เดิมที แล้วเป็นบริการของ Urchin และในการให้บริการนั้นก็เก็บค่าบริการต่อเดือน เดือนละ 200 เหรียญ ประมาณ เจ็ดพันกว่าบาทไทย (อัตราแลกเปลี่ยนปี 51) ซึ่ง Google เห็นแววเกิด ก็เลยขอซื้อและเปิดให้บริการฟรีให้สะเทือนวงการ
สถิติของจุดซ่อนเร้น
การ จะสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาสักแห่ง ทำออกมาได้ดีแค่ไหน ถ้าไม่มีคนเข้า มันก็ขยะดีๆนี่เอง เมื่อไม่มีคนเข้า รายได้ก็จะไม่มี เมื่อไม่มีรายได้คนทำก็จะหมดกำลังใจ และเมื่อขาดกำลังใจ ก็จะไม่มีแรงทำ เมื่อไม่มีแรงทำ มันก็จะขาดทุน และถ้าขาดทุนมากๆ มันก็จะเจ๊งไปในที่สุด ไม่ต้องคิดมาก Google Analytics ช่วยคุณได้ ด้วยสถิติที่ละเอิยดยิ๊บ
- Tip : มองในมุนกลับกันว่า ที่มาของทราฟฟิค ก็คือสถิติของทราฟฟิคที่เข้ามานั่นเอง
ใช้งานง่ายสุดๆ
Google Analytics ใช้งานได้ง่ายมากสำหรับนักการตลาดมือใหม่ webmaster มือใหม่ เปรียบได้เหมือนเด็กหัดนั่งรถไฟฟ้า ง่ายจริงๆ
ขีดความสามารถที่สอดคล้องกับเว็บไซต์ทุกขนาด
Google Analytics เป็นบริการผ่านโฮสต์ที่ใช้เซิร์ฟเวอร์เดียวกับ Google Search ตั้งแต่เว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีผู้เข้าชมจำนวนมากไปจนถึงเว็บไซต์ขนาดเล็ก Google Analytics ให้บริการได้อย่างเท่าเทียมกัน
ทำงานร่วมกับ AdWords
หาก มี Acc ของ AdWords สามารถใช้ Google Analytics ได้โดยตรงจากส่วนติดต่อของ AdWords คำนวณการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนจากคีย์เวิร์ดที่นำเข้าไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาของได้มากทีเดียว
ติดตามแคมเปญทั้งหมด
Google Analytics ติดตามแคมเปญออนไลน์ทั้งหมด ตั้งแต่เอ็ดกรู๊ปไปจนถึงคีย์เวิร์ด ไม่ว่าจะทราฟฟิคจาก google search หรือ จาก เคนเท้นเน็ตเวิร์ค
Google Analytics มีคุณลักษณะที่น่าสนใจและ คุณประโยชน์ มากมายสำหรับทุกคน ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงและนักการตลาดและนักโฆษณาไปจนถึงเจ้าของเว็บไซต์ และนักเขียน
การปรับใช้อย่างรวดเร็ว
แปะโค๊ดของ Google Analytics จึ่งเดียวในหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้า สามารถเริ่มทำงานเก็บสถิติได้ทันที (แต่ไม่เรียวทาม)
การเปรียบเทียบคีย์เวิร์ดและแคมเปญ
ติดตามและเปรียบเทียบโฆษณา จดหมายข่าวอีเมล แคมเปญโฆษณา การแนะนำสินค้า และคีย์เวิร์ดทั้งหมดใน Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ
รายงานที่กำหนดเอง
ไม่ต้องค้นหาข้อมูลในรายงานอีกต่อไป แต่รวบรวมข้อมูลที่ต้องการไว้ตามที่เรากำหนดเอง และยังสามารถส่งอีเมลไปให้บุคคลที่เกี่ยวข้องได้
การผสานรวมกับ AdWords
บิทคีย์เวิร์ดใน Google AdWords และใช้ Google Analytics เืพื่อดูว่าคีย์เวิร์ดคำใหนจะทำให้ได้ผลกำไรมากที่สุด
เทรน
เปรียบเทียบช่วงเวลา แนวโน้มของเทรนต่างๆให้
การติดตามการซื้อ-ขาย
ติดตามธุรกรรมของแคมเปญและคีย์เวิร์ด และระบุแหล่งที่มาของรายได้
ช่องทางการเข้าถึงข้อมูล
หาข้อมูลให้รู้ว่าเกิดความล้มเหลวในหน้าเว็บใด และลูกค้าของเราควรไปยังหน้าใด
การแสดงข้อมูลบนเว็บ
ดูปริมาณการเข้าชม และการเปลี่ยนแปลงสำหรับทุกลิงค์ขณะที่เปิดใช้เว็บไซต์ (ไม่ต้องมีการดาวน์โหลด)
การส่งรายงานทางอีเมล
กำหนดเวลา สำหรับส่งรายงานทางอีเมล์ สำหรับข้อมูลที่ที่ต้องการเปิดเผยแบบเฉพาะเจาะจงเป็นรายบุคคลได้
GeoTargeting
หาคำตอบให้รู้ว่าผู้เข้าชมของมาจากไหน และหาตลาดทางภูมิศาสตร์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
ผมขอกล่าวถึง 5 จุดสุดยอด Google Analytics Reports เนื้อๆ เน้นๆ ที่มีประโยชน์มั๊กๆ ดังนี้ครับ
1. Referring Sites (ภายใต้เมนู Traffic Sources)
ง่ายๆ ก็คือบอกให้เรารู้ว่าเว็บของเราได้ถูกเข้าชมจากเว็บที่เราเอาไปลิงค์ไปฝาก ไว้ที่ไหนมั่ง เช่นตามเว็บที่เราไปซับมิทเว็บไว้ในเว็บไดเรคทอรี่ต่างๆ ตามรูปประกอบคือเข้ามาจากเว็บ problogger.net 44 คน
2. Keywords (ภายใต้เมนู Traffic Sources)
ผลรายงานนี้บอกให้รู้ว่า มีคนเข้ามาในเว็บเราจากคีย์เวิร์ดคำไหน ยกตัวอย่างเช่น จากรูป มีคนเข้ามาเว็บเราทั้งหมดจาก 2,243 คีย์เวิร์ด มีเข้ามาด้วยคีย์เวิร์ดคำว่า car parking games จำนวน 964 คน เราก็ไปเช็คใน google ซะว่าเราอันดับเท่าไหร่ของคีย์เวิร์ดคำนี้
3. Content by Title (ภายใต้เมนู Content)
อันนี้ต่อเนื่องจากข้อ 2 ครับ คือบอกให้รู้ว่า Title ไหนมีคนเข้ามาดูมากที่สุด จากรูป มีคนเข้ามาจาก Title ของเว็บที่มีชื่อว่า Car Parking Games - Project Paradox จำนวน 3,922 Pageviews
4. New vs. Returning (ภายใต้เมนู Visitors)
รายงาน ส่วนนี้ จะแสดงให้เห็นว่า มีคนหน้าใหม่ เข้ามา 9,296 คน (89.78%) คนเก่าๆ 1,053 (10.22%) แสดงให้เห็นว่า มีคนเข้าเว็บเราเพิ่มขึ้นมากเลยแฮะ ทั้งหมดก็ 10,354 คน เข้ามาตั้งหมื่นกว่าคน คลิกคนละจึกสองจึก ก็จะเป็นเงินมิน้อย
5. Map Overlay (ภายใต้เมนู Visitors)
รายงาน สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด อันนี้จะบอกให้รู้ว่าคนเข้ามาดูจากทวีปไหนมั่ง ตรงกลุ่มเป้าหมายหรือเปล่า สมมุติ อเมริกา กับอังกฤษเรายึดไปแล้ว ทวีปไหนประเทศไหนทราฟฟิคยังน้อยอยู่ เราก็ไปเช็คโอกาส และคู่แข่งภายในประเทศนั้น วางแผนการอันชั่วร้ายและปฏิบัติการตามแผนอย่างเงียบๆและเราก็จะครองทั้งโลก ด้วยคีย์เวิร์ดคำนี้
หลายคนคงรู้จักกันแล้ว....ว่า Google Analytics ก็คือ ตัวเก็บสถิติเกี่ยวกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมของคนที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซด์ รวมทั้งติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญการโฆษณา Adwords หรือโปรแกรมการโฆษณาอื่นๆ ด้วยข้อมูลนี้ จะทราบว่าคีย์เวิร์ดใดที่ได้ผล ข้อความโฆษณาใดมีประสิทธิภาพมากที่สุด และผู้เข้าชมเว็บไซต์ออกจากเว็บไซต์ที่จุดใด
ความสามารถหลัก ของ Google Analytics
Google analytics แบ่งความสามารถตามจุดประสงค์การใช้งานได้ดังต่อไปนี้คือ
- สถิติเกี่ยวกับ Visitor รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์
- สถิติเกี่ยวกับ Traffic รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางในการเข้าถึงเว็บไซต์
- สถิติเกี่ยวกับ Content รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถิติการเข้าชมเนื้อหาภายในหน้าเว็บไซต์
- สถิติเกี่ยวกับ Goal วิเคราะห์ว่าผู้ใช้งานเข้าถึงเป้าหมายภายในเว็บไซต์ได้อย่างไร
ง่ายๆก็คือ ....
...... ช่วยให้เรารู้ว่าผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์มาจากที่ไหน
...... เข้ามาดูที่หน้าใดบ้างในเว็บ
...... ใช้เวลาในการเข้าชมนานเท่าไหร่ แล้วไปไหนต่อ
...... หน้าเว็บใดที่ผู้เข้าชมหยุดดูเป็นเวลานาน และทำอะไรอยู่ในขณะที่หยุดดูอยู่
...... อะไรบนเว็บที่ขายดี แล้วขายไปมูลค่าเท่าไหร่ และกลับมาซื้อซ้ำหรือเปล่า บ่อยแค่ไหน
คุณสมบัติพิเศษ
ฟรี
เดิมที แล้วเป็นบริการของ Urchin และในการให้บริการนั้นก็เก็บค่าบริการต่อเดือน เดือนละ 200 เหรียญ ประมาณ เจ็ดพันกว่าบาทไทย (อัตราแลกเปลี่ยนปี 51) ซึ่ง Google เห็นแววเกิด ก็เลยขอซื้อและเปิดให้บริการฟรีให้สะเทือนวงการ
สถิติของจุดซ่อนเร้น
การ จะสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาสักแห่ง ทำออกมาได้ดีแค่ไหน ถ้าไม่มีคนเข้า มันก็ขยะดีๆนี่เอง เมื่อไม่มีคนเข้า รายได้ก็จะไม่มี เมื่อไม่มีรายได้คนทำก็จะหมดกำลังใจ และเมื่อขาดกำลังใจ ก็จะไม่มีแรงทำ เมื่อไม่มีแรงทำ มันก็จะขาดทุน และถ้าขาดทุนมากๆ มันก็จะเจ๊งไปในที่สุด ไม่ต้องคิดมาก Google Analytics ช่วยคุณได้ ด้วยสถิติที่ละเอิยดยิ๊บ
- Tip : มองในมุนกลับกันว่า ที่มาของทราฟฟิค ก็คือสถิติของทราฟฟิคที่เข้ามานั่นเอง
ใช้งานง่ายสุดๆ
Google Analytics ใช้งานได้ง่ายมากสำหรับนักการตลาดมือใหม่ webmaster มือใหม่ เปรียบได้เหมือนเด็กหัดนั่งรถไฟฟ้า ง่ายจริงๆ
ขีดความสามารถที่สอดคล้องกับเว็บไซต์ทุกขนาด
Google Analytics เป็นบริการผ่านโฮสต์ที่ใช้เซิร์ฟเวอร์เดียวกับ Google Search ตั้งแต่เว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีผู้เข้าชมจำนวนมากไปจนถึงเว็บไซต์ขนาดเล็ก Google Analytics ให้บริการได้อย่างเท่าเทียมกัน
ทำงานร่วมกับ AdWords
หาก มี Acc ของ AdWords สามารถใช้ Google Analytics ได้โดยตรงจากส่วนติดต่อของ AdWords คำนวณการวัดผลตอบแทนจากการลงทุนจากคีย์เวิร์ดที่นำเข้าไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาของได้มากทีเดียว
ติดตามแคมเปญทั้งหมด
Google Analytics ติดตามแคมเปญออนไลน์ทั้งหมด ตั้งแต่เอ็ดกรู๊ปไปจนถึงคีย์เวิร์ด ไม่ว่าจะทราฟฟิคจาก google search หรือ จาก เคนเท้นเน็ตเวิร์ค
Google Analytics มีคุณลักษณะที่น่าสนใจและ คุณประโยชน์ มากมายสำหรับทุกคน ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงและนักการตลาดและนักโฆษณาไปจนถึงเจ้าของเว็บไซต์ และนักเขียน
การปรับใช้อย่างรวดเร็ว
แปะโค๊ดของ Google Analytics จึ่งเดียวในหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้า สามารถเริ่มทำงานเก็บสถิติได้ทันที (แต่ไม่เรียวทาม)
การเปรียบเทียบคีย์เวิร์ดและแคมเปญ
ติดตามและเปรียบเทียบโฆษณา จดหมายข่าวอีเมล แคมเปญโฆษณา การแนะนำสินค้า และคีย์เวิร์ดทั้งหมดใน Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ
รายงานที่กำหนดเอง
ไม่ต้องค้นหาข้อมูลในรายงานอีกต่อไป แต่รวบรวมข้อมูลที่ต้องการไว้ตามที่เรากำหนดเอง และยังสามารถส่งอีเมลไปให้บุคคลที่เกี่ยวข้องได้
การผสานรวมกับ AdWords
บิทคีย์เวิร์ดใน Google AdWords และใช้ Google Analytics เืพื่อดูว่าคีย์เวิร์ดคำใหนจะทำให้ได้ผลกำไรมากที่สุด
เทรน
เปรียบเทียบช่วงเวลา แนวโน้มของเทรนต่างๆให้
การติดตามการซื้อ-ขาย
ติดตามธุรกรรมของแคมเปญและคีย์เวิร์ด และระบุแหล่งที่มาของรายได้
ช่องทางการเข้าถึงข้อมูล
หาข้อมูลให้รู้ว่าเกิดความล้มเหลวในหน้าเว็บใด และลูกค้าของเราควรไปยังหน้าใด
การแสดงข้อมูลบนเว็บ
ดูปริมาณการเข้าชม และการเปลี่ยนแปลงสำหรับทุกลิงค์ขณะที่เปิดใช้เว็บไซต์ (ไม่ต้องมีการดาวน์โหลด)
การส่งรายงานทางอีเมล
กำหนดเวลา สำหรับส่งรายงานทางอีเมล์ สำหรับข้อมูลที่ที่ต้องการเปิดเผยแบบเฉพาะเจาะจงเป็นรายบุคคลได้
GeoTargeting
หาคำตอบให้รู้ว่าผู้เข้าชมของมาจากไหน และหาตลาดทางภูมิศาสตร์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
ผมขอกล่าวถึง 5 จุดสุดยอด Google Analytics Reports เนื้อๆ เน้นๆ ที่มีประโยชน์มั๊กๆ ดังนี้ครับ
โค๊ด:
http://www.dailyblogtips.com/top-5-google-analytics-reports-for-bloggers/
1. Referring Sites (ภายใต้เมนู Traffic Sources)
ง่ายๆ ก็คือบอกให้เรารู้ว่าเว็บของเราได้ถูกเข้าชมจากเว็บที่เราเอาไปลิงค์ไปฝาก ไว้ที่ไหนมั่ง เช่นตามเว็บที่เราไปซับมิทเว็บไว้ในเว็บไดเรคทอรี่ต่างๆ ตามรูปประกอบคือเข้ามาจากเว็บ problogger.net 44 คน
2. Keywords (ภายใต้เมนู Traffic Sources)
ผลรายงานนี้บอกให้รู้ว่า มีคนเข้ามาในเว็บเราจากคีย์เวิร์ดคำไหน ยกตัวอย่างเช่น จากรูป มีคนเข้ามาเว็บเราทั้งหมดจาก 2,243 คีย์เวิร์ด มีเข้ามาด้วยคีย์เวิร์ดคำว่า car parking games จำนวน 964 คน เราก็ไปเช็คใน google ซะว่าเราอันดับเท่าไหร่ของคีย์เวิร์ดคำนี้
3. Content by Title (ภายใต้เมนู Content)
อันนี้ต่อเนื่องจากข้อ 2 ครับ คือบอกให้รู้ว่า Title ไหนมีคนเข้ามาดูมากที่สุด จากรูป มีคนเข้ามาจาก Title ของเว็บที่มีชื่อว่า Car Parking Games - Project Paradox จำนวน 3,922 Pageviews
4. New vs. Returning (ภายใต้เมนู Visitors)
รายงาน ส่วนนี้ จะแสดงให้เห็นว่า มีคนหน้าใหม่ เข้ามา 9,296 คน (89.78%) คนเก่าๆ 1,053 (10.22%) แสดงให้เห็นว่า มีคนเข้าเว็บเราเพิ่มขึ้นมากเลยแฮะ ทั้งหมดก็ 10,354 คน เข้ามาตั้งหมื่นกว่าคน คลิกคนละจึกสองจึก ก็จะเป็นเงินมิน้อย
5. Map Overlay (ภายใต้เมนู Visitors)
รายงาน สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด อันนี้จะบอกให้รู้ว่าคนเข้ามาดูจากทวีปไหนมั่ง ตรงกลุ่มเป้าหมายหรือเปล่า สมมุติ อเมริกา กับอังกฤษเรายึดไปแล้ว ทวีปไหนประเทศไหนทราฟฟิคยังน้อยอยู่ เราก็ไปเช็คโอกาส และคู่แข่งภายในประเทศนั้น วางแผนการอันชั่วร้ายและปฏิบัติการตามแผนอย่างเงียบๆและเราก็จะครองทั้งโลก ด้วยคีย์เวิร์ดคำนี้
วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Google Adwords
สำหรับเจ้าของร้านทั้งหลาย ที่ต้องการทำการตลาดอย่างจริง ๆ จัง ๆ หลาย ๆ คนอาจจะเคยลงโฆษณากับเว็บไซต์ดัง ๆ อย่าง pantipmarket หรือ sanook แต่ว่า ยังมีอีกหลายคนเหมือนกันที่ยังไม่รู้ว่า การทำการตลาดออนไลน์ โดยลงโฆษณากับ google นั้น ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ และได้ผล ทางการตลาดออนไลน์เหมือนกัน เผลอ ๆ บางครั้ง อาจจะมีคนเข้ามาชมเว็บของคุณมากกว่าที่คิดไว้เสียด้วย...
Google Adwords คือการลงโฆษณาโดยใช้คีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาที่ตรงจุดกลุ่มเป้าหมายในเว็บไซต์ของกูเกิล โฆษณาจะปรากกฎในด้านขวามือ Googleเป็นเว็บไซต์ค้นหาเบอร์หนึ่งของโลก ( Search Engine ) ผู้คนทั้งโลกนิยมการค้นหาสินค้าและบริการตลอดจนข้อมูลต่างๆจากอินเทอร์เนต กูเกิลจะเป็นตัวนำพาไปพบหรือเชื่อมโยงกับเว็บไซต์หรือสินค้าที่ต้องการค้นหา ประเภทค้นหาได้ สากกระเบือยันเรือรบ ( เรื่องจริง ) เช่นเราต้องการหาคำว่า " ดอกไม้ " ก็คีย์คำว่าดอกไม้ลงในช่องการค้นหา ถ้ามีผู้ลงข้อมูลคำว่าดอกไม้ไว้ จะสามารถค้นหาได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลา และนับวันที่ผู้คนทั่วโลกที่เข้าไปในระบบออนไลน์จะค้นหาข้อมูลใดๆต้องไปที่เว็บไซต์ของกูเกิ้ล เว็บไซต์ค้นหายอดนิยม รองลงมาจะเป็น Yahoo.com , MSN.com , ฯลฯ ดังนั้นจะเห็นว่าในแต่ละวันมีผู้คนที่เข้าไปค้นหาข้อมูลจากทั่วทุกมุมโลกเป็นจำนวนหลายล้านคน
Google Adwords จะวางตำแหน่งโฆษณาไว้ด้านขวามือของเว็บไซต์ การจะโฆษณาให้ตรงจุด ตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ต้องใช้เทคนิควิเคราะห์คำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่คาดว่าลูกค้าส่วนมากนิยมใช้ค้นหากัน เราจะช่วยท่านวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเหล่านี้ พร้อมแนะนำเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องในการทำโฆษณาให้เวิร์ค ตรงตัวลูกค้าด้วยงบประมาณตามที่ท่านต้องการและกำหนดได้โดยอิสระ สามารถหยุดโฆษณาได้ทุกเมื่อ หรือจะให้โฆษณาขึ้นเมื่อใดก็ได้
ข้อดีและข้อเด่นของการทำโฆษณาใน Google Adwords ทำได้ง่ายและรวดเร็ว จำกัดงบประมาณรายวันได้ จะหยุดช่วงใดก็ได้ จะให้โฆษณาขึ้นที่ประเทศใดๆก็ได้ แต่การจะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้บริหารแคมเปญโฆษณานั้นๆ ว่าใช้คีย์เวิร์ดตรงกลุ่มเป้าหมาย สร้างแคมเปญถูกต้องหรือไม่ ซึ่งจะมีเทคนิคการบริหารจัดการ
พูดง่ายๆก็คือทำอย่างไรจึงจะตาม Google ให้ทัน เพราะถ้าทำไม่ถูกจุดก็เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้ารู้จุดและเทคนิคของการที่จะเล่นกับมันก็จะจ่ายน้อยกว่า ตรงๆคือโฆษณาแบบมั่วๆไม่ได้ ต้องทันกับการปรับเปลี่ยนของกูเกิ้ล เราช่วยท่านบริหารการโฆษณานี้ได้ ใช้ต้นทุนต่ำที่สุด แต่ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด แต่ในดีก็มีเสียเช่นกัน
ข้อจำกัดหรือข้อเสียของ Google Adwords คือเป็นบริการที่ต้องเสียเงินและต้องประมูลแข่งขันกับเจ้าอื่นๆที่ใช้คีย์เวิร์ดเช่นกับเรา ถ้าเงินประมูลไม่ถึงหรือมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โฆษณาของเราก็จะไม่ปรากฎ เราต้องเข้าไปแก้ไขเพิ่มเงินหรับปรับปรุงแคมเปญใหม่ ในบางคีย์เวิร์ดการประมูลอาจจะมีราคาสูง ยิ่งคีย์เวิร์ดใดมีการแข่งขันกันสูงราคาประมูลก็ยิ่งสูงตาม การเขียนคำโฆษณาแคมเปญต้องถูกต้องตามที่ Google กำหนด ถ้าทำข้อความโฆษณาผิดก็จะถูกแบนโฆษณา
ในเมืองไทยจะนิยมดูข้อมูลจากทางด้านซ้ายมือของหน้าGoogle ส่วนด้านขวามือไม่ค่อยนิยมเท่าใดนัก ที่นิยมก็คือคลิกเล่นๆเพื่อให้เจ้าของเว็บไซต์เสียเงินฟรีๆ ซึ่งไม่เหมือนในต่างประเทศที่เขาเน้นหาข้อมูลจากทางซีกด้านขวามือจริงๆ จะเห็นว่า Google Adwords เหมาะกับการโฆษณายิงไปยังต่างประเทศมากกว่า
หลาย ๆ ท่านอาจจะยังสงสัยว่า แล้วการคิดเงินค่าโฆษณาของ google นั้นเป็นอย่างไร?
โฆษณาของ google จะอยู่ในรูปแบบ pay per click ข้อดี คือ เสียค่าใช้จ่ายตามจริง เมื่อผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเท่านั้น และโฆษณาจะปรากฏให้ผู้ชมเห็นตามคีย์เวิร์ด (Keyword) หรือ กลุ่มคำที่คุณเลือกไว้ซึ่งเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
โดยที่หน้าสมัครเราสามารถเลือกเป็นภาษาไทยได้ หรือต้องการภาษาอื่นก็เลือกได้เลย และเลือกที่ช่อง ลงชื่อเข้าใช้
หลังจากนั้นจะเข้าสู่หน้าให้เลือกรูปแบบของบัญชี ให้เลือกแบบมาตรฐาน เพราะจะสมารถใช้Google AdWords ครบทุกฟังค์ชั่น
และจะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 1 เลือกสถานที่และภาษา ซึ่งเราสามารถเลือกประเทศเป้าหมายของเราได้ ว่าเราต้องการจะทำตลาดที่ประเทศไหนทั่วโลก และเลือกภาษาที่ใช้เขียนโฆณา
16. ใส่ราคาลงไปในตัวโฆษณาด้วย – เพราะว่าจะทำให้คนที่ไม่มีศักยภาพในการซื้อไม่คลิกที่ตัวโฆษณาของเรา
Google Adwords จะวางตำแหน่งโฆษณาไว้ด้านขวามือของเว็บไซต์ การจะโฆษณาให้ตรงจุด ตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ต้องใช้เทคนิควิเคราะห์คำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่คาดว่าลูกค้าส่วนมากนิยมใช้ค้นหากัน เราจะช่วยท่านวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเหล่านี้ พร้อมแนะนำเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องในการทำโฆษณาให้เวิร์ค ตรงตัวลูกค้าด้วยงบประมาณตามที่ท่านต้องการและกำหนดได้โดยอิสระ สามารถหยุดโฆษณาได้ทุกเมื่อ หรือจะให้โฆษณาขึ้นเมื่อใดก็ได้
ข้อดีและข้อเด่นของการทำโฆษณาใน Google Adwords ทำได้ง่ายและรวดเร็ว จำกัดงบประมาณรายวันได้ จะหยุดช่วงใดก็ได้ จะให้โฆษณาขึ้นที่ประเทศใดๆก็ได้ แต่การจะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้บริหารแคมเปญโฆษณานั้นๆ ว่าใช้คีย์เวิร์ดตรงกลุ่มเป้าหมาย สร้างแคมเปญถูกต้องหรือไม่ ซึ่งจะมีเทคนิคการบริหารจัดการ
พูดง่ายๆก็คือทำอย่างไรจึงจะตาม Google ให้ทัน เพราะถ้าทำไม่ถูกจุดก็เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้ารู้จุดและเทคนิคของการที่จะเล่นกับมันก็จะจ่ายน้อยกว่า ตรงๆคือโฆษณาแบบมั่วๆไม่ได้ ต้องทันกับการปรับเปลี่ยนของกูเกิ้ล เราช่วยท่านบริหารการโฆษณานี้ได้ ใช้ต้นทุนต่ำที่สุด แต่ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด แต่ในดีก็มีเสียเช่นกัน
ข้อจำกัดหรือข้อเสียของ Google Adwords คือเป็นบริการที่ต้องเสียเงินและต้องประมูลแข่งขันกับเจ้าอื่นๆที่ใช้คีย์เวิร์ดเช่นกับเรา ถ้าเงินประมูลไม่ถึงหรือมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โฆษณาของเราก็จะไม่ปรากฎ เราต้องเข้าไปแก้ไขเพิ่มเงินหรับปรับปรุงแคมเปญใหม่ ในบางคีย์เวิร์ดการประมูลอาจจะมีราคาสูง ยิ่งคีย์เวิร์ดใดมีการแข่งขันกันสูงราคาประมูลก็ยิ่งสูงตาม การเขียนคำโฆษณาแคมเปญต้องถูกต้องตามที่ Google กำหนด ถ้าทำข้อความโฆษณาผิดก็จะถูกแบนโฆษณา
ในเมืองไทยจะนิยมดูข้อมูลจากทางด้านซ้ายมือของหน้าGoogle ส่วนด้านขวามือไม่ค่อยนิยมเท่าใดนัก ที่นิยมก็คือคลิกเล่นๆเพื่อให้เจ้าของเว็บไซต์เสียเงินฟรีๆ ซึ่งไม่เหมือนในต่างประเทศที่เขาเน้นหาข้อมูลจากทางซีกด้านขวามือจริงๆ จะเห็นว่า Google Adwords เหมาะกับการโฆษณายิงไปยังต่างประเทศมากกว่า
หลาย ๆ ท่านอาจจะยังสงสัยว่า แล้วการคิดเงินค่าโฆษณาของ google นั้นเป็นอย่างไร?
โฆษณาของ google จะอยู่ในรูปแบบ pay per click ข้อดี คือ เสียค่าใช้จ่ายตามจริง เมื่อผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเท่านั้น และโฆษณาจะปรากฏให้ผู้ชมเห็นตามคีย์เวิร์ด (Keyword) หรือ กลุ่มคำที่คุณเลือกไว้ซึ่งเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
ค่าใช้จ่ายการลงโฆษณา ผ่านเสิร์ช เอนจิ้นในรูปแบบ Cost Per Click ของแต่ละแคมเปญจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับกลุ่มคำหรือคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้ คีย์เวิร์ดคำใดที่เป็นที่นิยม และมีคู่แข่งขันเป็นจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายต่อการคลิก 1 ครั้งก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น ความชำนาญในการเลือกคีย์เวิร์ดและการเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย ช่วงระยะเวลาและความต่อเนื่องของแคมเปญ จำนวนชิ้นงานโฆษณาของแต่ละแคมเปญ ระบบการดูแลบริหารแคมเปญ เพื่อให้เกิดราคาต่อคลิกที่มีประสิทธิผลสูงสุด ทั้งหมดล้วนส่งผลถึงงบประมาณที่ใช้ในการโฆษณาทั้งสิ้น
วิธีการสมัคร Google Adwords
สมัครที่ลิ้งค์นี้นะครับ http://adwords.google.co.th/select/Login
เนื่องจากเราพอจะทราบกันดีอยู่แล้วครับว่า ปัจจุบัน Google มีอิทธิพลกับโลก Online อย่างไรบ้างมาบ้างแล้ว แต่เราล่ะในฐานะคนที่อยู่ในโลก Online เหมือนกันซึ่งนอกจากเราจะใช้ Google ในการค้นหาข้อมูลแล้ว Google ยังทำอะไรได้อีก
- เราสามารถใช้ Google เป็นตัวเชื่อมธุรกิจของเราไปสู่ผู้บริโภค ได้ทั้งในและนอกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ตลาดไม่ได้อยู่แค่วงจำกัดและเราสามารถใช้ Google เลือกตลาดใหม่ๆได้ตลอดเวลา
- ค่าโฆษณาสามารถเลือกจ่ายได้ว่าจะโฆษณาก่อนจ่ายทีหลัง หรือแบบเติมเงินก็ได้ และจ่ายต่อเมื่อมีคนคลิกเข้ามาเท่านั้น ทำให้คุ้มกับเงินที่จ่ายออกไป
- สามารถวัดผลและปรับปรุงได้ง่ายจากข้อมูลที่เป็นตัวเลข หลังจากที่ทราบว่าเราสามารถที่จะทำโฆษณา ออกสู่สายตาของคนทั่วประเทศหรือทั่วโลกได้อย่างไรแล้วก็ เริ่มต้นเปิดบัญชีกับ Adword ซึ่งมีค่าเปิดเพียง $5 หรือ ประมาณ 200 บาท เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นเงินเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพและผลตอบรับที่เราจะได้
โดยที่หน้าสมัครเราสามารถเลือกเป็นภาษาไทยได้ หรือต้องการภาษาอื่นก็เลือกได้เลย และเลือกที่ช่อง ลงชื่อเข้าใช้
หลังจากนั้นจะเข้าสู่หน้าให้เลือกรูปแบบของบัญชี ให้เลือกแบบมาตรฐาน เพราะจะสมารถใช้Google AdWords ครบทุกฟังค์ชั่น
และจะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 1 เลือกสถานที่และภาษา ซึ่งเราสามารถเลือกประเทศเป้าหมายของเราได้ ว่าเราต้องการจะทำตลาดที่ประเทศไหนทั่วโลก และเลือกภาษาที่ใช้เขียนโฆณา
ส่วนขั้นตอนที่ 2 เป็นหน้าให้ใส่ (Display URL) ของเราลงไป เป็นหน้าที่จะส่งลูกค้าของเราไปสู่เว็ปของเรา และข้อความที่เราจะใช้โฆษณา โดยจะมี 3 บรรทัด
บรรทัดที่ 1 เป็นหัวโฆษณา เขียนได้ 25 ตัวอักษร (เป็นข้อความที่ใช้ดึงดูด)
บรรทัดที่ 2 เป็นข้อความโฆษณาข้อความแรก ความยาว 35 ตัวอักษร
บรรทัดที่ 3 เป็นข้อความโฆษณาข้อความที่สอง ความยาว 35 ตัวอักษร (สองบรรทัดเขียนให้คนอยากซื้อสินค้า)
ขั้นตอนที่ 3 เป็นขั้นตอนการใส่ Keyword เป็นคำที่คนจะใช้ค้นหาสินค้า การใส่เครื่องหมาย “-” และ [-] นี้เป็นการใช้ประโยชน์จากเทคนิค Matching Option เพื่อให้ Keywords ที่เราใช้สามารถจำกัดเป้าหมายที่ชัดเจนได้
จากนั้นขั้นตอนที่ 4 เลือกสกุลเงินที่เราจะใช้ในการจ่ายค่าโฆษณากับ Aword ซึ่งก็แล้วแต่ผู้ใช้จะเลือกนะครับ แต่สำหรับผมเลือก USD เพราะสะดวกต่อการคำนวนต้นทุน
ขั้นตอนที่ 5 เป็นการตั้งงบโฆษณาต่อเดือน ว่าเราจะจ่ายเงินเป็นค่าโฆษณาเป็นจำนวนเงินไม่เกินเท่าไหร่ต่อเดือน ซึ่งทำให้เราไม่ต้องกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายในอนาคต
แล้วก็กดดำเนินการต่อไป
และก็จะเข้าสู่หน้าที่ Adword จะถามเราว่าเราจะใช้ชื่อบัญชีของเราเป็นอะไร ซึ่งเป็นชื่อ Email-ของเรานั้นเอง ในกรณีนี้ถ้าเรามี Email ของ Gmail ก็เลือกชื่อ Mail ของเราเป็นชื่อ Login ได้เลย และตั้ง password (โดยส่วนใหญ่สมัครครั้งแรกใช้ Gmail จะดีที่สุด) แล้วทาง Google Adword ก็จะส่ง mail มาให้เรายืนยันบัญชีว่าเป็นของเราอย่างถูกต้อง และเราก็เข้าไปในบัญชีของเรา เราจะพบว่าบัญชีของเรายังไม่แสดงโฆณาเพราเราจะต้อง จ่ายค่าสมัครซึ่งเป็นเงิน $5 เสียก่อน ก็เข้าไปตรง บัญชีของฉัน จากนั้นก็เข้าไปใส่ข้อมูลที่เราจะให้ทาง Google เก็บเงินกับเราทางไหน โดยเข้าไปทีตั้งค่าเกี่ยวกับการจ่ายเงิน แล้วก็เลือกประเภทบัตรที่จะใช้จ่ายค่าบริการ ซึ่งจะเป็นบัตรเครดิต หรือ e-webcard ก็ได้ และหลังจากเราทำรายการตรงนี้เสร็จแล้วทาง Google ตัดเงินได้แล้วก็จะเริ่มแสดงโฆษณาของเราแล้วครับ โดยหน้าตาภายใน Account ของเราจะเป็นแบบนี้ครับจะมีค่าจำนวน ที่แสดงโฆณาของเราต่อวันและจำนวนคลิกเท่าไหร่ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ซึ่งเราสามารถพัฒนาประสิทธิภาพโฆณาของเราได้ต่อไปครับ
หวังว่าแต่และท่านคงจะนำไปใช้ได้หรือมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
หวังว่าแต่และท่านคงจะนำไปใช้ได้หรือมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
ข้อดีของ Google Adwords
• ใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานเพียง 15 นาที ก็สามารถทำการโฆษณาเว็บของคุณได้แล้ว
ไม่ต้องใช้เวลานานมากเหมือน SEO( Search Engine Optimization)
• สามารถเลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณได้ไม่จำกัด
• กำหนดตำแหน่งของโฆษณาได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับราคา Bid ของแต่ละ Keyword
• อัตราการซื้อและกำลังซื้อของผู้เยี่ยมชมสูงกว่า SEO( Search Engine Optimization)
• กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
• ไม่ต้องคิดถึงกฎเกณฑ์ของ Search Engine
• คนที่คลิกโฆษณาของคุณนั้นก็คือผู้ที่สนใจใน บริการหรือสินค้าของคุณจริงๆ ซึ่งมีโอกาส
มากๆ ที่จะมาเป็นลูกค้าของคุณ
• ถ้าไม่มีคนคลิกโฆษณาของคุณ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้กับ Google
• กำหนด Title และ Description ของโฆษณาได้
• ใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานเพียง 15 นาที ก็สามารถทำการโฆษณาเว็บของคุณได้แล้ว
ไม่ต้องใช้เวลานานมากเหมือน SEO( Search Engine Optimization)
• สามารถเลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณได้ไม่จำกัด
• กำหนดตำแหน่งของโฆษณาได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับราคา Bid ของแต่ละ Keyword
• อัตราการซื้อและกำลังซื้อของผู้เยี่ยมชมสูงกว่า SEO( Search Engine Optimization)
• กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
• ไม่ต้องคิดถึงกฎเกณฑ์ของ Search Engine
• คนที่คลิกโฆษณาของคุณนั้นก็คือผู้ที่สนใจใน บริการหรือสินค้าของคุณจริงๆ ซึ่งมีโอกาส
มากๆ ที่จะมาเป็นลูกค้าของคุณ
• ถ้าไม่มีคนคลิกโฆษณาของคุณ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้กับ Google
• กำหนด Title และ Description ของโฆษณาได้
ข้อเสียของ Google Adwords
• ต้องจ่ายค่าบริการให้กับ Google ทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของคุณ
• ราคาของ Keyword มีการขึ้นลงอยู่เสมอ ตามการแข่งขัน
• ต้องจ่ายค่าบริการให้กับ Google ทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของคุณ
• ราคาของ Keyword มีการขึ้นลงอยู่เสมอ ตามการแข่งขัน
ทำไมต้องใช้บริการ Google Adwords
• Google เป็น Search Engine ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดของโลกในขณะนี้ และยังมี
ส่วนแบ่งการตลาดของ Search Engine รายอื่นๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google อีกมาก เช่น
• Google เป็น Search Engine ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดของโลกในขณะนี้ และยังมี
ส่วนแบ่งการตลาดของ Search Engine รายอื่นๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google อีกมาก เช่น
และอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นโฆษณาของคุณมีโอกาสสูงทีเดียวที่จะเข้าถึงเว็บไซด์ชั้นนำของ
โลกเหล่านี้ได้
• ภายใน 15 นาที โฆษณาของคุณจะปรากฎอยู่ในเว็บไซด์ของ Google และเครือข่ายเว็บ-
ไซด์ของคุณจะได้รับทราฟฟิกทันที
• สามารถกำหนดงบประมาณประจำวันได้
• กำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน เช่น ประเทศ ภาษา เมือง
• กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
• แก้ไข Keyword และเปลี่ยนข้อมูลโฆษณาได้ โดยโฆษณาที่แก้ไขแล้วจะแสดงผลในทันที
โลกเหล่านี้ได้
• ภายใน 15 นาที โฆษณาของคุณจะปรากฎอยู่ในเว็บไซด์ของ Google และเครือข่ายเว็บ-
ไซด์ของคุณจะได้รับทราฟฟิกทันที
• สามารถกำหนดงบประมาณประจำวันได้
• กำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน เช่น ประเทศ ภาษา เมือง
• กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
• แก้ไข Keyword และเปลี่ยนข้อมูลโฆษณาได้ โดยโฆษณาที่แก้ไขแล้วจะแสดงผลในทันที
หากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซด์ ที่กำลังขายสินค้าและบริการอยู่ อย่ารอช้าที่จะเรียนรู้โปรแกรม google adwords เพราะโปรแกรมนี้จะทำให้ คุณและลูกค้า มาเจอกันได้โดยตรง แค่ลูกค้าคุณพิมพ์ คำ ? (keywords) ที่เกี่ยวข้อง กับบริการหรือสินค้าคุณ โฆษณาเว็บของคุณ ก็จะปรากฎขึ้นอยู่ด้านบนสุด หรือฝั่งขวามือทันที (ในภาพ)
ทำไม ? คุณถึงต้องทำโฆษณากับกูเกิ้ล นะเหรอ! ง่ายมากครับ เพราะในประเทศไทย พบว่า คนไทยใช้ Google.com ในการค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการต่างๆถึง 98% ดังนั้นถ้าหากโฆษณาเว็บไซต์สินค้าของคุณไปปรากฏบน Google.com ได้ ก็จะช่วยเพิ่มลูกค้าอย่างมากมาย มหาศาล
มี 2 วิธี ที่คุณจะลงโฆษณาเว็บคุณ ให้ปรากฎบนเว็บ google.com ได้คือ
1. คุณ จ่ายเงินให้กับบริษัท หรือตัวแทนโฆษณา ที่รับโปรโมทเว็บผ่านโปรแกรม Google Adwords
2. คุณ ลงมือทำ ด้วยตัวของคุณเอง บนโปรแกรม Google Adwords
1. พยายามใส่ Keywords ไว้ในตัวโฆษณา – เราจะต้องแสดงให้กับผู้ที่ค้นหารู้ว่าตัวโฆษณาของเรานั้นสัมพันธ์กันกับสิ่งที่เค้ากำลังค้นหาอยู่ โดยใส่ Keywords ไว้ในตัวโฆษณาของเราด้วย เพราะว่าทาง Google จะแสดงคีย์เวิร์ดนั้นเป็นตัวหนา แล้วก็จะทำให้ตัวโฆษณาของคุณเห็นมากกว่าของคนอื่นครับ
2. ใช้ Keywords ในแต่ละ Group ไม่มาก – การที่เราใช้ Ad Group แค่ตัวเดียวโดยที่มี Keywords เยอะๆประมาณ 1,000 – 2,000 ตัว ไม่เป็นการดีครับ เพราะว่ามันจะทำให้เรามี CTR ที่ต่ำ แล้วก็จะยากต่อการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ทางที่ดีควรจะแยก Keywords ที่คล้ายๆกันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน และถ้าหากทำแบบนี้แล้วก็จะสามารถทำตามเทคนิคข้อที่ 1 ได้ด้วยครับ
3. ใส่ Bid ในตอนเริ่มโฆษณาให้สูงๆ – เนื่องจากว่าทาง Google นั้นจะจัดอันดับโฆษณาจากราคา Bid และ CTR เพื่อที่จะทำให้ CTR ของเราสูง เราจะต้องใส่ราคา Bid ในตอนเริ่มทดลองสินค้าตัวใหม่ให้มากๆก่อน เพื่อที่จะให้โฆษณาของเราอยู่อันดับ 1 – 8 จากนั้น CTR ของเราจะสูงขึ้นแล้วก็ CPC ของเราจะลดต่ำลงเองครับ
4. ตั้งอัตราค่าโฆษณาต่อวันให้สูงกว่าที่ทาง Google แนะนำ – ถ้าเราตั้งค่าโฆษณาต่อวันน้อยเกินไป โฆษณาของเราอาจจะแสดงไม่ตลอดทั้งวัน และแน่นอนครับเมื่อลูกค้าที่กำลังต้องการสินค้าที่เราขายอยู่เข้ามา แล้วไม่เจอโฆษณาข
องเรา เราก็จะเสียโอกาสนี้ไป วิธีการลดปริมาณการคลิกจากกลุ่มคนที่ไม่ต้องการซื้อของจริงๆ ก็ให้เราใช้ Nagative Keywords , Exact Matches, และกำหนดประเทศในการแสดงโฆษณา
5. หลีกเลี่ยง Keywords ที่มีการแข่งขันสูง – อย่าเสียเงินโดยใช่เหตุโดยการใส่ Bid สูงๆกับ Keywords ที่มีการแข่งขันกันเยอะ ให้เราทำหา Keywords ที่มีคนค้นหาน้อยแต่ว่าหามาหลายๆ Keywords ดีกว่าครับ เพราะว่า Keywords ที่มีคนค้นหาน้อยแต่ว่าหลายตัว ก็จะเท่ากับหรือมากกว่า Keywords ที่มีคนค้นหาเยอะแค่คำเดียว แถมยังมีราคา Bid ถูกมากๆครับ
6. ตั้งราคา Bid ใน Exact Matches Keywords ให้สูงกว่า Keywords แบบอื่น – ให้เราใช้ Exact Matches Keywords ร่วมด้วยกับ Matches แบบอื่นๆ แล้วก็ตั้งราคา Bid ให้สูงกว่าแบบอื่นเล็กน้อย เพราะว่า Google จะให้ความสำคัญกับ Exact Matches Keywords มากกว่า Matches แบบอื่นใน Keywords เดียวกัน เช่นใน group หนึ่งเราตั้งราคา Bid ไว้ที่ 0.10 เราก็กำหนดให้ Bid ของ Exact Matches Keywords เป็น 0.25 ดังตัวอย่างข้างล่างครับ
[online casino] ** 0.25
“online casino”
7. ใช้ Negative Keywords – ตัวโฆษณาของเราจะไม่แสดงถ้าเกิดว่าการค้นหามี Negative Keywords อยู่ด้วย ให้เราใส่ Negative Keywords ไปด้วย เพราะว่ายิ่งมี Negative Keywords มากเท่าไหร่ CTR ของเราก็จะยิ่งเพิ่มมากขั้นไปด้วย เป็นการประหยัดเงินแล้วก็ทำให้ตำแหน่งโฆษณาของเราสูงขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่นสินค้าของเรานั้นเป็นแบบ premium ก็ให้เราใส่ Negative Keywords ที่ไม่เกี่ยวกับ premium ไว้ด้วย
[premium web hosting] ** 0.25
“premium web hosting”
-free
-cheap
-discount
8. ใช้ Landing Page ให้สัมพันธ์กับสินค้า – เพราะว่าถ้าหากลูกค้าคลิกที่โฆษณาแล้วไปที่หน้าที่ขายสินค้าทันที ก็จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่าย อย่าลืมนะครับว่าลูกค้าของเรามีเวลาไม่มากในการค้นหา ถ้าเค้าเจอเว็บที่ไม่เกี่ยวข้องกับความต้องการของเค้า เค้าก็จะปิดเว็บนั้นไป เราก็จะเสียโอกาส
9. แยกการค้นหาแบบ Search และ Content Campaigns – มีหลายๆคนที่เสียเงินโดยใช่เหตุ เพราะว่าไม่ได้แยกการค้นหาแบบ Search และ Content ส่วนมากเราจะไม่รู้จะไม่สังเกตุว่า Google นั้นจะให้โฆษณาของเราไปปรากฏที่ Google Content Network ด้วย เราจะต้องปิดบริการตัวนี้หรือว่าแยกเอาไว้เป็น 2 ส่วน
10. ใช้ Ad หลายๆแผ่นแล้วนำมาเปรีบเทียบ (Split) – Google นั้นให้เราสร้างตัวโฆษณาหลายๆแผ่นใน Ad เดียวกัน ให้เราสร้างตัวโฆษณามาอย่างน้อย 2 แผ่นเพื่อที่จะได้เปรียบเทียบว่าแผ่นไหนดีกว่ากัน ถ้าโฆษณาแผ่นไหนไม่ดีก็ให้ลบทิ้งแล้วก็สร้างใหม่ อาจจะแค่สลับบรรทัดหรือเปลี่ยนคำเป็นบางคำ
11. ติดตามผล – อย่าเชื่อในรายงานของ Google มากนัก ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ว่าข้อมูลแค่นี้ไม่เพียงพอ เพราะว่าอาจจะมีการคลิกแกล้งให้เราเสียเงินแต่ไม่ซื้อสินค้าจากคู่แข่งของเร าได้ ถ้าหากว่าไม่มี Tracking Software ก็ให้เราหาดาวโหลดมาใช้นะครับ
12. ใส่คำที่กระตุ้นให้อยากคลิกไว้ใน Headline – ให้เราเริ่มต้นด้วยคำที่กระตุ้นให้อยากคลิกเข้าไปดูเช่น “Free:, New:, Sale:, ect” แต่เราต้องเช็คด้วยว่าคำที่เราใช้นั้นทาง Google อนุญาตรึเปล่า
13. ใส่คำที่กระตุ้นให้อยากคลิกไว้ในตัวโฆษณา – ให้เราใส่คำที่ดูแล้วน่าคลิกเข้าไปเช่น “free, cheap, sale, special offer, time limited offer, tricks, you, tips, enhance, discover, fact, learn, at last, free shipping, ect.
ตัวอย่างเช่น
* Buy Today – Save 50%
* Download Free Trial Now
* Sale Ends Tomorrow
14. ใส่คำที่ดูแล้วดูดีกว่าคู่แข่งคนอื่น – อะไรที่จะทำให้สินค้าของคุณดูดีกว่าหรือแตกต่างจากคู่แข่ง ให้เราใส่ไปในข้อความโฆษณาด้วย ตัวอย่างเช่นเว็บไซต์ Amazon.com จะเขียนข้อความไว้ในบรรทัดแรกว่า “Earth’s Biggest Bookstore” นี่เป็นคำที่ดูแล้วน่าเข้าไปดูในเว็บไซต์มาก
15. เอาคำที่ไม่มีประโยชน์ออก – ตัวอย่างเช่น “a, an, in, on, it, of” อย่าใส่คำพวกนี้ลงไปในตัวโฆษณา เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองคำเปล่าๆ
2. ใช้ Keywords ในแต่ละ Group ไม่มาก – การที่เราใช้ Ad Group แค่ตัวเดียวโดยที่มี Keywords เยอะๆประมาณ 1,000 – 2,000 ตัว ไม่เป็นการดีครับ เพราะว่ามันจะทำให้เรามี CTR ที่ต่ำ แล้วก็จะยากต่อการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ทางที่ดีควรจะแยก Keywords ที่คล้ายๆกันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน และถ้าหากทำแบบนี้แล้วก็จะสามารถทำตามเทคนิคข้อที่ 1 ได้ด้วยครับ
3. ใส่ Bid ในตอนเริ่มโฆษณาให้สูงๆ – เนื่องจากว่าทาง Google นั้นจะจัดอันดับโฆษณาจากราคา Bid และ CTR เพื่อที่จะทำให้ CTR ของเราสูง เราจะต้องใส่ราคา Bid ในตอนเริ่มทดลองสินค้าตัวใหม่ให้มากๆก่อน เพื่อที่จะให้โฆษณาของเราอยู่อันดับ 1 – 8 จากนั้น CTR ของเราจะสูงขึ้นแล้วก็ CPC ของเราจะลดต่ำลงเองครับ
4. ตั้งอัตราค่าโฆษณาต่อวันให้สูงกว่าที่ทาง Google แนะนำ – ถ้าเราตั้งค่าโฆษณาต่อวันน้อยเกินไป โฆษณาของเราอาจจะแสดงไม่ตลอดทั้งวัน และแน่นอนครับเมื่อลูกค้าที่กำลังต้องการสินค้าที่เราขายอยู่เข้ามา แล้วไม่เจอโฆษณาข
องเรา เราก็จะเสียโอกาสนี้ไป วิธีการลดปริมาณการคลิกจากกลุ่มคนที่ไม่ต้องการซื้อของจริงๆ ก็ให้เราใช้ Nagative Keywords , Exact Matches, และกำหนดประเทศในการแสดงโฆษณา
5. หลีกเลี่ยง Keywords ที่มีการแข่งขันสูง – อย่าเสียเงินโดยใช่เหตุโดยการใส่ Bid สูงๆกับ Keywords ที่มีการแข่งขันกันเยอะ ให้เราทำหา Keywords ที่มีคนค้นหาน้อยแต่ว่าหามาหลายๆ Keywords ดีกว่าครับ เพราะว่า Keywords ที่มีคนค้นหาน้อยแต่ว่าหลายตัว ก็จะเท่ากับหรือมากกว่า Keywords ที่มีคนค้นหาเยอะแค่คำเดียว แถมยังมีราคา Bid ถูกมากๆครับ
6. ตั้งราคา Bid ใน Exact Matches Keywords ให้สูงกว่า Keywords แบบอื่น – ให้เราใช้ Exact Matches Keywords ร่วมด้วยกับ Matches แบบอื่นๆ แล้วก็ตั้งราคา Bid ให้สูงกว่าแบบอื่นเล็กน้อย เพราะว่า Google จะให้ความสำคัญกับ Exact Matches Keywords มากกว่า Matches แบบอื่นใน Keywords เดียวกัน เช่นใน group หนึ่งเราตั้งราคา Bid ไว้ที่ 0.10 เราก็กำหนดให้ Bid ของ Exact Matches Keywords เป็น 0.25 ดังตัวอย่างข้างล่างครับ
[online casino] ** 0.25
“online casino”
7. ใช้ Negative Keywords – ตัวโฆษณาของเราจะไม่แสดงถ้าเกิดว่าการค้นหามี Negative Keywords อยู่ด้วย ให้เราใส่ Negative Keywords ไปด้วย เพราะว่ายิ่งมี Negative Keywords มากเท่าไหร่ CTR ของเราก็จะยิ่งเพิ่มมากขั้นไปด้วย เป็นการประหยัดเงินแล้วก็ทำให้ตำแหน่งโฆษณาของเราสูงขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่นสินค้าของเรานั้นเป็นแบบ premium ก็ให้เราใส่ Negative Keywords ที่ไม่เกี่ยวกับ premium ไว้ด้วย
[premium web hosting] ** 0.25
“premium web hosting”
-free
-cheap
-discount
8. ใช้ Landing Page ให้สัมพันธ์กับสินค้า – เพราะว่าถ้าหากลูกค้าคลิกที่โฆษณาแล้วไปที่หน้าที่ขายสินค้าทันที ก็จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่าย อย่าลืมนะครับว่าลูกค้าของเรามีเวลาไม่มากในการค้นหา ถ้าเค้าเจอเว็บที่ไม่เกี่ยวข้องกับความต้องการของเค้า เค้าก็จะปิดเว็บนั้นไป เราก็จะเสียโอกาส
9. แยกการค้นหาแบบ Search และ Content Campaigns – มีหลายๆคนที่เสียเงินโดยใช่เหตุ เพราะว่าไม่ได้แยกการค้นหาแบบ Search และ Content ส่วนมากเราจะไม่รู้จะไม่สังเกตุว่า Google นั้นจะให้โฆษณาของเราไปปรากฏที่ Google Content Network ด้วย เราจะต้องปิดบริการตัวนี้หรือว่าแยกเอาไว้เป็น 2 ส่วน
10. ใช้ Ad หลายๆแผ่นแล้วนำมาเปรีบเทียบ (Split) – Google นั้นให้เราสร้างตัวโฆษณาหลายๆแผ่นใน Ad เดียวกัน ให้เราสร้างตัวโฆษณามาอย่างน้อย 2 แผ่นเพื่อที่จะได้เปรียบเทียบว่าแผ่นไหนดีกว่ากัน ถ้าโฆษณาแผ่นไหนไม่ดีก็ให้ลบทิ้งแล้วก็สร้างใหม่ อาจจะแค่สลับบรรทัดหรือเปลี่ยนคำเป็นบางคำ
11. ติดตามผล – อย่าเชื่อในรายงานของ Google มากนัก ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ว่าข้อมูลแค่นี้ไม่เพียงพอ เพราะว่าอาจจะมีการคลิกแกล้งให้เราเสียเงินแต่ไม่ซื้อสินค้าจากคู่แข่งของเร าได้ ถ้าหากว่าไม่มี Tracking Software ก็ให้เราหาดาวโหลดมาใช้นะครับ
12. ใส่คำที่กระตุ้นให้อยากคลิกไว้ใน Headline – ให้เราเริ่มต้นด้วยคำที่กระตุ้นให้อยากคลิกเข้าไปดูเช่น “Free:, New:, Sale:, ect” แต่เราต้องเช็คด้วยว่าคำที่เราใช้นั้นทาง Google อนุญาตรึเปล่า
13. ใส่คำที่กระตุ้นให้อยากคลิกไว้ในตัวโฆษณา – ให้เราใส่คำที่ดูแล้วน่าคลิกเข้าไปเช่น “free, cheap, sale, special offer, time limited offer, tricks, you, tips, enhance, discover, fact, learn, at last, free shipping, ect.
ตัวอย่างเช่น
* Buy Today – Save 50%
* Download Free Trial Now
* Sale Ends Tomorrow
14. ใส่คำที่ดูแล้วดูดีกว่าคู่แข่งคนอื่น – อะไรที่จะทำให้สินค้าของคุณดูดีกว่าหรือแตกต่างจากคู่แข่ง ให้เราใส่ไปในข้อความโฆษณาด้วย ตัวอย่างเช่นเว็บไซต์ Amazon.com จะเขียนข้อความไว้ในบรรทัดแรกว่า “Earth’s Biggest Bookstore” นี่เป็นคำที่ดูแล้วน่าเข้าไปดูในเว็บไซต์มาก
15. เอาคำที่ไม่มีประโยชน์ออก – ตัวอย่างเช่น “a, an, in, on, it, of” อย่าใส่คำพวกนี้ลงไปในตัวโฆษณา เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองคำเปล่าๆ
16. ใส่ราคาลงไปในตัวโฆษณาด้วย – เพราะว่าจะทำให้คนที่ไม่มีศักยภาพในการซื้อไม่คลิกที่ตัวโฆษณาของเรา
บทความและรูปภาพจากเว็บไซต์ thtfreeweb.com
วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Google AdSense คืออะไร
Google AdSense คือบริการจาก Google ที่ให้ผู้ที่มีเว็บไซต์ สามารถหารายได้โดยการนำ Code ที่ได้จากการสมัครเป็นสมาชิกของ Google มาใส่ไว้ที่เว็บไซต์ของตนเอง ซึ่ง Code นั้นจะเป็น โฆษณาที่ส่งมาจาก Google โดยโฆษณานั้น ๆ จะเป็นโฆษณาที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ ตัวอย่างเช่นถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โฆษณาที่ส่งมาจาก Google ก็อาจเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ โรงแรม,สายการบิน เป็นต้น
โฆษณาที่ส่งมาจาก Google นั้น ๆ มีทั้งแบบ Text ,รูปภาพ และมีหลายขนาด ให้คุณได้เลือก นอกจากนั้นยังสามารถเลือกรูปแบบสีได้ตามความต้องการ เพื่อความเหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณ
แล้วโฆษณาต่าง ๆ เหล่านั้นมาจากไหน ??? หลายคงอาจสงสัย โฆษณาต่าง ๆ เหล่านั้นมาจากการทำ Google Adwords ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริการของ Google ที่ให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่ต้องการขายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ โฆษณาสินค้าของตนเอง ผ่าน Search Engine ของ google รวมถึงเว็บไซต์อื่นๆ ที่นำ Google Adsense ไปติด เพื่อให้โฆษณาของตนเองอยู่ในตำแหน่งที่เด่น (เมื่อ Search ใน Google) กว่าข้อมูลอื่นที่ได้ผลลัพท์จากการค้นหา
รายได้จาก Google AdSense จะเกิดตอนไหน
จะมีอยู่ 2 กรณีครับคือ
• จ่ายเมื่อคลิก (Pay Per Click)
เมื่อคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ คลิกที่โฆษณาของ Google AdSense ซึ่งแต่ละคลิกจะได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับผู้ที่ทำ Google Adwords จ่ายให้ Google มากน้อยเท่าไร ถ้าจ่ายให้มากคุณก็จะได้มากด้วยเช่นกัน
• จ่ายเมื่อแสดงโฆษณา (Pay Per Impression)
อันนี้จะจ่ายให้คุณเมื่อมีการแสดงโฆษณา ครบ 1,000 ครั้ง โดยไม่นับว่าจะมีคนคลิกกี่ครั้งก็ตาม คุณจะไม่ได้รายได้จากการคลิก
นอกจากโฆษณาต่าง ๆ แล้ว การแนะนำ บริการต่าง ๆ ของ Gogle เมื่อมีคนใช้บริการ คุณก็จะมีรายได้จากการแนะนำนั้นด้วยซึ่งมีอยู่ดังต่อไปนี้
Google AdSense • ค่าตอบแทน $5 หากมีผู้ที่สมัคร Google Adsense ผ่าน Referral ของคุณและได้ $5 ภายใน 180 วัน
• ค่าตอบแทน $250 หากภายใน 180 วันถ้าผู้ที่สมัคร Google Adsense ผ่าน Referral ของคุณสามารถทำได้ $100 โดยผู้ที่สมัครต่อจากคุณต้องกรอก PIN ก่อนคุณถึงจะได้รับค่าตอบแทน
• ค่าตอบแทน $2,000 หากคุณมี 25 คนที่สมัครต่อจากคุณภายในระยะเวลา 180 วัน ที่สามารถทำได้มากกว่า $100 คุณจะได้รับโบนัสเพิ่มทันที (โบนัสจะได้รับ 1 ครั้ง/ปี)
Google AdWords • ค่าตอบแทน $5 หากมีผู้ที่สนในลงโฆษณากับ Google Adwords ผ่าน Referred ของคุณและชำระค่าบริการ $5
• ค่าตอบแทน $40 หากผู้ที่ลงโฆษณากับ Google Adwords ใช้บริการโฆษณาและชำระค่าบริการ $100 ภายใน 90 วัน
• ค่าตอบแทน $600 หากมีผู้สมัครผ่านคุณ 25 คนที่ลงโฆษณากับ Google Adwords โดยผู้ที่โฆษณาใครก็ตามที่ชำระค่าบริการมากกว่า $100 ภายใน 90 วัน คุณจะได้รับโบนัสเพิ่มทันที (โบนัสจะได้รับ 1 ครั้ง/ปี
Firefox คุณจะได้ 1$ เมื่อมีคนดาวน์โหลด Firefox จากเว็บของคุณ แต่ผู้ดาวน์โหลดนั้น ๆ ต้องไม่เคยติดตั้ง Firefox มาก่อน (แต่อย่างไรผมก็ได้แค่ 10 เซ็นต์ ทำไมเป็นแบบนั้น ???)
AdSense for searchคุณจะได้เงินมีคนมาใช้ Googel Search Box จากเว็บของคุณ แล้วคลิกโฆษณาผลลัพท์ที่ได้จากการ Search นั้น ๆ (เว็บไซต์ที่ อยู่ในตำแหน่งสปอนเซอร์ จะอยู่ด้านบน เป็นกรอบที่เด่นชัด) ค่าตอบแทนจะได้มากหรือน้อยขึ้นอยุ่กับ Keyword ที่ผู้ใช้ค้นหา ซึ่งจะไม่เท่ากัน
Google Apps
Google Apps คือระบบที่เหมาะสำหรับองค์กรธุรกิจ โรงเรียน มหาวิทยาลัย ซึ่งในระบบจะมีบริการต่างๆที่สมาชิกในกลุ่มใช้ได้ เช่น อีเมลล์ ระบบการการสนทนาผ่าน Instant Massaging ระบบปฎิทิน ที่ทุกคนสามารถเข้าไปใช่ร่วมกันได้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างภายในสมาชิก ระบบทั้งหมด Google เป็นผู้ให้บริการ โดยที่คุณไม่ต้องลงทุนอุปกรณ์และค่าซอฟท์แวร์แต่อย่างใด รวมถึงไม่ต้องเสียค่าบำรุงรักษา
คุณจะได้รับ $5 จากที่มีผู้สนใจคลิกโฆษณา Google Apps ผ่านเว็บไซด์ของคุณและได้ทำการลงทะเบียนอย่างเสร็จสมบูณณ์ อย่างไรก็ตามหากผู้ที่สนใจไม่ได้สมัคร Google Apps ทันทีก็ตามระบบจะเก็บขอมูลการคลิกโฆษณา Google Apps จากเว็บไซด์ของคุณต่ออีกเป็นเวลา 4 สัปดาห์ นั่นหมายถึงเขาอาจจะสมัครหลังจากนั้นก็ได้ แล้วคุณก็ยังได้รับรายได้อยู่
Google Checkout
Google Checkout คือระบบการจับจ่ายซื้อสินค้าที่สะดวก ปลอดภัยและรวดเร็ว ด้วยระบบการรับชำระของ Google Checkout คุณสามารถทำรายการสั่งซื้อและจ่ายค่าสินค้าตลอดจนตรวจสอบรายการ การสั่งซื้อหรือการจ่ายค่าสินค้าได้ด้วยตัวเองผ่านหน้าเว็บไซด์
คุณจะได้รับ $1 ถ้ามีผู้ที่สมัครบัญชี Google Checkout ผ่านการแนะนำจากเว็บไซด์ของคุณ และได้ทำรายการสั่งซื้อสินค้าภายใน 90 วันและรายการทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์จนการชำระค่าสินค้าเสร็จสิ้น โดยมูลค่าของสินค้าต้องมีมูลค่า $10 ขึ้นไป ก่อนที่รวมภาษีและค่าขนส่ง ภายใน 7 วัน
ทีนี้ก็รู้จัก Google AdSense กันแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง อยากทำกันบ้างหรือเปล่า ??
โฆษณาที่ส่งมาจาก Google นั้น ๆ มีทั้งแบบ Text ,รูปภาพ และมีหลายขนาด ให้คุณได้เลือก นอกจากนั้นยังสามารถเลือกรูปแบบสีได้ตามความต้องการ เพื่อความเหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณ
แล้วโฆษณาต่าง ๆ เหล่านั้นมาจากไหน ??? หลายคงอาจสงสัย โฆษณาต่าง ๆ เหล่านั้นมาจากการทำ Google Adwords ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริการของ Google ที่ให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่ต้องการขายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ โฆษณาสินค้าของตนเอง ผ่าน Search Engine ของ google รวมถึงเว็บไซต์อื่นๆ ที่นำ Google Adsense ไปติด เพื่อให้โฆษณาของตนเองอยู่ในตำแหน่งที่เด่น (เมื่อ Search ใน Google) กว่าข้อมูลอื่นที่ได้ผลลัพท์จากการค้นหา
รายได้จาก Google AdSense จะเกิดตอนไหน
จะมีอยู่ 2 กรณีครับคือ
• จ่ายเมื่อคลิก (Pay Per Click)
เมื่อคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ คลิกที่โฆษณาของ Google AdSense ซึ่งแต่ละคลิกจะได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับผู้ที่ทำ Google Adwords จ่ายให้ Google มากน้อยเท่าไร ถ้าจ่ายให้มากคุณก็จะได้มากด้วยเช่นกัน
• จ่ายเมื่อแสดงโฆษณา (Pay Per Impression)
อันนี้จะจ่ายให้คุณเมื่อมีการแสดงโฆษณา ครบ 1,000 ครั้ง โดยไม่นับว่าจะมีคนคลิกกี่ครั้งก็ตาม คุณจะไม่ได้รายได้จากการคลิก
นอกจากโฆษณาต่าง ๆ แล้ว การแนะนำ บริการต่าง ๆ ของ Gogle เมื่อมีคนใช้บริการ คุณก็จะมีรายได้จากการแนะนำนั้นด้วยซึ่งมีอยู่ดังต่อไปนี้
Google AdSense • ค่าตอบแทน $5 หากมีผู้ที่สมัคร Google Adsense ผ่าน Referral ของคุณและได้ $5 ภายใน 180 วัน
• ค่าตอบแทน $250 หากภายใน 180 วันถ้าผู้ที่สมัคร Google Adsense ผ่าน Referral ของคุณสามารถทำได้ $100 โดยผู้ที่สมัครต่อจากคุณต้องกรอก PIN ก่อนคุณถึงจะได้รับค่าตอบแทน
• ค่าตอบแทน $2,000 หากคุณมี 25 คนที่สมัครต่อจากคุณภายในระยะเวลา 180 วัน ที่สามารถทำได้มากกว่า $100 คุณจะได้รับโบนัสเพิ่มทันที (โบนัสจะได้รับ 1 ครั้ง/ปี)
Google AdWords • ค่าตอบแทน $5 หากมีผู้ที่สนในลงโฆษณากับ Google Adwords ผ่าน Referred ของคุณและชำระค่าบริการ $5
• ค่าตอบแทน $40 หากผู้ที่ลงโฆษณากับ Google Adwords ใช้บริการโฆษณาและชำระค่าบริการ $100 ภายใน 90 วัน
• ค่าตอบแทน $600 หากมีผู้สมัครผ่านคุณ 25 คนที่ลงโฆษณากับ Google Adwords โดยผู้ที่โฆษณาใครก็ตามที่ชำระค่าบริการมากกว่า $100 ภายใน 90 วัน คุณจะได้รับโบนัสเพิ่มทันที (โบนัสจะได้รับ 1 ครั้ง/ปี
Firefox คุณจะได้ 1$ เมื่อมีคนดาวน์โหลด Firefox จากเว็บของคุณ แต่ผู้ดาวน์โหลดนั้น ๆ ต้องไม่เคยติดตั้ง Firefox มาก่อน (แต่อย่างไรผมก็ได้แค่ 10 เซ็นต์ ทำไมเป็นแบบนั้น ???)
AdSense for searchคุณจะได้เงินมีคนมาใช้ Googel Search Box จากเว็บของคุณ แล้วคลิกโฆษณาผลลัพท์ที่ได้จากการ Search นั้น ๆ (เว็บไซต์ที่ อยู่ในตำแหน่งสปอนเซอร์ จะอยู่ด้านบน เป็นกรอบที่เด่นชัด) ค่าตอบแทนจะได้มากหรือน้อยขึ้นอยุ่กับ Keyword ที่ผู้ใช้ค้นหา ซึ่งจะไม่เท่ากัน
Google Apps
Google Apps คือระบบที่เหมาะสำหรับองค์กรธุรกิจ โรงเรียน มหาวิทยาลัย ซึ่งในระบบจะมีบริการต่างๆที่สมาชิกในกลุ่มใช้ได้ เช่น อีเมลล์ ระบบการการสนทนาผ่าน Instant Massaging ระบบปฎิทิน ที่ทุกคนสามารถเข้าไปใช่ร่วมกันได้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างภายในสมาชิก ระบบทั้งหมด Google เป็นผู้ให้บริการ โดยที่คุณไม่ต้องลงทุนอุปกรณ์และค่าซอฟท์แวร์แต่อย่างใด รวมถึงไม่ต้องเสียค่าบำรุงรักษา
คุณจะได้รับ $5 จากที่มีผู้สนใจคลิกโฆษณา Google Apps ผ่านเว็บไซด์ของคุณและได้ทำการลงทะเบียนอย่างเสร็จสมบูณณ์ อย่างไรก็ตามหากผู้ที่สนใจไม่ได้สมัคร Google Apps ทันทีก็ตามระบบจะเก็บขอมูลการคลิกโฆษณา Google Apps จากเว็บไซด์ของคุณต่ออีกเป็นเวลา 4 สัปดาห์ นั่นหมายถึงเขาอาจจะสมัครหลังจากนั้นก็ได้ แล้วคุณก็ยังได้รับรายได้อยู่
Google Checkout
Google Checkout คือระบบการจับจ่ายซื้อสินค้าที่สะดวก ปลอดภัยและรวดเร็ว ด้วยระบบการรับชำระของ Google Checkout คุณสามารถทำรายการสั่งซื้อและจ่ายค่าสินค้าตลอดจนตรวจสอบรายการ การสั่งซื้อหรือการจ่ายค่าสินค้าได้ด้วยตัวเองผ่านหน้าเว็บไซด์
คุณจะได้รับ $1 ถ้ามีผู้ที่สมัครบัญชี Google Checkout ผ่านการแนะนำจากเว็บไซด์ของคุณ และได้ทำรายการสั่งซื้อสินค้าภายใน 90 วันและรายการทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์จนการชำระค่าสินค้าเสร็จสิ้น โดยมูลค่าของสินค้าต้องมีมูลค่า $10 ขึ้นไป ก่อนที่รวมภาษีและค่าขนส่ง ภายใน 7 วัน
ทีนี้ก็รู้จัก Google AdSense กันแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง อยากทำกันบ้างหรือเปล่า ??
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)