Google Adwords จะวางตำแหน่งโฆษณาไว้ด้านขวามือของเว็บไซต์ การจะโฆษณาให้ตรงจุด ตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ต้องใช้เทคนิควิเคราะห์คำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่คาดว่าลูกค้าส่วนมากนิยมใช้ค้นหากัน เราจะช่วยท่านวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเหล่านี้ พร้อมแนะนำเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องในการทำโฆษณาให้เวิร์ค ตรงตัวลูกค้าด้วยงบประมาณตามที่ท่านต้องการและกำหนดได้โดยอิสระ สามารถหยุดโฆษณาได้ทุกเมื่อ หรือจะให้โฆษณาขึ้นเมื่อใดก็ได้
ข้อดีและข้อเด่นของการทำโฆษณาใน Google Adwords ทำได้ง่ายและรวดเร็ว จำกัดงบประมาณรายวันได้ จะหยุดช่วงใดก็ได้ จะให้โฆษณาขึ้นที่ประเทศใดๆก็ได้ แต่การจะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้บริหารแคมเปญโฆษณานั้นๆ ว่าใช้คีย์เวิร์ดตรงกลุ่มเป้าหมาย สร้างแคมเปญถูกต้องหรือไม่ ซึ่งจะมีเทคนิคการบริหารจัดการ
พูดง่ายๆก็คือทำอย่างไรจึงจะตาม Google ให้ทัน เพราะถ้าทำไม่ถูกจุดก็เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้ารู้จุดและเทคนิคของการที่จะเล่นกับมันก็จะจ่ายน้อยกว่า ตรงๆคือโฆษณาแบบมั่วๆไม่ได้ ต้องทันกับการปรับเปลี่ยนของกูเกิ้ล เราช่วยท่านบริหารการโฆษณานี้ได้ ใช้ต้นทุนต่ำที่สุด แต่ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด แต่ในดีก็มีเสียเช่นกัน
ข้อจำกัดหรือข้อเสียของ Google Adwords คือเป็นบริการที่ต้องเสียเงินและต้องประมูลแข่งขันกับเจ้าอื่นๆที่ใช้คีย์เวิร์ดเช่นกับเรา ถ้าเงินประมูลไม่ถึงหรือมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โฆษณาของเราก็จะไม่ปรากฎ เราต้องเข้าไปแก้ไขเพิ่มเงินหรับปรับปรุงแคมเปญใหม่ ในบางคีย์เวิร์ดการประมูลอาจจะมีราคาสูง ยิ่งคีย์เวิร์ดใดมีการแข่งขันกันสูงราคาประมูลก็ยิ่งสูงตาม การเขียนคำโฆษณาแคมเปญต้องถูกต้องตามที่ Google กำหนด ถ้าทำข้อความโฆษณาผิดก็จะถูกแบนโฆษณา
ในเมืองไทยจะนิยมดูข้อมูลจากทางด้านซ้ายมือของหน้าGoogle ส่วนด้านขวามือไม่ค่อยนิยมเท่าใดนัก ที่นิยมก็คือคลิกเล่นๆเพื่อให้เจ้าของเว็บไซต์เสียเงินฟรีๆ ซึ่งไม่เหมือนในต่างประเทศที่เขาเน้นหาข้อมูลจากทางซีกด้านขวามือจริงๆ จะเห็นว่า Google Adwords เหมาะกับการโฆษณายิงไปยังต่างประเทศมากกว่า
หลาย ๆ ท่านอาจจะยังสงสัยว่า แล้วการคิดเงินค่าโฆษณาของ google นั้นเป็นอย่างไร?
โฆษณาของ google จะอยู่ในรูปแบบ pay per click ข้อดี คือ เสียค่าใช้จ่ายตามจริง เมื่อผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเท่านั้น และโฆษณาจะปรากฏให้ผู้ชมเห็นตามคีย์เวิร์ด (Keyword) หรือ กลุ่มคำที่คุณเลือกไว้ซึ่งเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
ค่าใช้จ่ายการลงโฆษณา ผ่านเสิร์ช เอนจิ้นในรูปแบบ Cost Per Click ของแต่ละแคมเปญจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับกลุ่มคำหรือคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้ คีย์เวิร์ดคำใดที่เป็นที่นิยม และมีคู่แข่งขันเป็นจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายต่อการคลิก 1 ครั้งก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น ความชำนาญในการเลือกคีย์เวิร์ดและการเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย ช่วงระยะเวลาและความต่อเนื่องของแคมเปญ จำนวนชิ้นงานโฆษณาของแต่ละแคมเปญ ระบบการดูแลบริหารแคมเปญ เพื่อให้เกิดราคาต่อคลิกที่มีประสิทธิผลสูงสุด ทั้งหมดล้วนส่งผลถึงงบประมาณที่ใช้ในการโฆษณาทั้งสิ้น
วิธีการสมัคร Google Adwords
สมัครที่ลิ้งค์นี้นะครับ http://adwords.google.co.th/select/Login
เนื่องจากเราพอจะทราบกันดีอยู่แล้วครับว่า ปัจจุบัน Google มีอิทธิพลกับโลก Online อย่างไรบ้างมาบ้างแล้ว แต่เราล่ะในฐานะคนที่อยู่ในโลก Online เหมือนกันซึ่งนอกจากเราจะใช้ Google ในการค้นหาข้อมูลแล้ว Google ยังทำอะไรได้อีก
- เราสามารถใช้ Google เป็นตัวเชื่อมธุรกิจของเราไปสู่ผู้บริโภค ได้ทั้งในและนอกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ตลาดไม่ได้อยู่แค่วงจำกัดและเราสามารถใช้ Google เลือกตลาดใหม่ๆได้ตลอดเวลา
- ค่าโฆษณาสามารถเลือกจ่ายได้ว่าจะโฆษณาก่อนจ่ายทีหลัง หรือแบบเติมเงินก็ได้ และจ่ายต่อเมื่อมีคนคลิกเข้ามาเท่านั้น ทำให้คุ้มกับเงินที่จ่ายออกไป
- สามารถวัดผลและปรับปรุงได้ง่ายจากข้อมูลที่เป็นตัวเลข หลังจากที่ทราบว่าเราสามารถที่จะทำโฆษณา ออกสู่สายตาของคนทั่วประเทศหรือทั่วโลกได้อย่างไรแล้วก็ เริ่มต้นเปิดบัญชีกับ Adword ซึ่งมีค่าเปิดเพียง $5 หรือ ประมาณ 200 บาท เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นเงินเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพและผลตอบรับที่เราจะได้
โดยที่หน้าสมัครเราสามารถเลือกเป็นภาษาไทยได้ หรือต้องการภาษาอื่นก็เลือกได้เลย และเลือกที่ช่อง ลงชื่อเข้าใช้
หลังจากนั้นจะเข้าสู่หน้าให้เลือกรูปแบบของบัญชี ให้เลือกแบบมาตรฐาน เพราะจะสมารถใช้Google AdWords ครบทุกฟังค์ชั่น
และจะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 1 เลือกสถานที่และภาษา ซึ่งเราสามารถเลือกประเทศเป้าหมายของเราได้ ว่าเราต้องการจะทำตลาดที่ประเทศไหนทั่วโลก และเลือกภาษาที่ใช้เขียนโฆณา
ส่วนขั้นตอนที่ 2 เป็นหน้าให้ใส่ (Display URL) ของเราลงไป เป็นหน้าที่จะส่งลูกค้าของเราไปสู่เว็ปของเรา และข้อความที่เราจะใช้โฆษณา โดยจะมี 3 บรรทัด
บรรทัดที่ 1 เป็นหัวโฆษณา เขียนได้ 25 ตัวอักษร (เป็นข้อความที่ใช้ดึงดูด)
บรรทัดที่ 2 เป็นข้อความโฆษณาข้อความแรก ความยาว 35 ตัวอักษร
บรรทัดที่ 3 เป็นข้อความโฆษณาข้อความที่สอง ความยาว 35 ตัวอักษร (สองบรรทัดเขียนให้คนอยากซื้อสินค้า)
ขั้นตอนที่ 3 เป็นขั้นตอนการใส่ Keyword เป็นคำที่คนจะใช้ค้นหาสินค้า การใส่เครื่องหมาย “-” และ [-] นี้เป็นการใช้ประโยชน์จากเทคนิค Matching Option เพื่อให้ Keywords ที่เราใช้สามารถจำกัดเป้าหมายที่ชัดเจนได้
จากนั้นขั้นตอนที่ 4 เลือกสกุลเงินที่เราจะใช้ในการจ่ายค่าโฆษณากับ Aword ซึ่งก็แล้วแต่ผู้ใช้จะเลือกนะครับ แต่สำหรับผมเลือก USD เพราะสะดวกต่อการคำนวนต้นทุน
ขั้นตอนที่ 5 เป็นการตั้งงบโฆษณาต่อเดือน ว่าเราจะจ่ายเงินเป็นค่าโฆษณาเป็นจำนวนเงินไม่เกินเท่าไหร่ต่อเดือน ซึ่งทำให้เราไม่ต้องกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายในอนาคต
แล้วก็กดดำเนินการต่อไป
และก็จะเข้าสู่หน้าที่ Adword จะถามเราว่าเราจะใช้ชื่อบัญชีของเราเป็นอะไร ซึ่งเป็นชื่อ Email-ของเรานั้นเอง ในกรณีนี้ถ้าเรามี Email ของ Gmail ก็เลือกชื่อ Mail ของเราเป็นชื่อ Login ได้เลย และตั้ง password (โดยส่วนใหญ่สมัครครั้งแรกใช้ Gmail จะดีที่สุด) แล้วทาง Google Adword ก็จะส่ง mail มาให้เรายืนยันบัญชีว่าเป็นของเราอย่างถูกต้อง และเราก็เข้าไปในบัญชีของเรา เราจะพบว่าบัญชีของเรายังไม่แสดงโฆณาเพราเราจะต้อง จ่ายค่าสมัครซึ่งเป็นเงิน $5 เสียก่อน ก็เข้าไปตรง บัญชีของฉัน จากนั้นก็เข้าไปใส่ข้อมูลที่เราจะให้ทาง Google เก็บเงินกับเราทางไหน โดยเข้าไปทีตั้งค่าเกี่ยวกับการจ่ายเงิน แล้วก็เลือกประเภทบัตรที่จะใช้จ่ายค่าบริการ ซึ่งจะเป็นบัตรเครดิต หรือ e-webcard ก็ได้ และหลังจากเราทำรายการตรงนี้เสร็จแล้วทาง Google ตัดเงินได้แล้วก็จะเริ่มแสดงโฆษณาของเราแล้วครับ โดยหน้าตาภายใน Account ของเราจะเป็นแบบนี้ครับจะมีค่าจำนวน ที่แสดงโฆณาของเราต่อวันและจำนวนคลิกเท่าไหร่ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ซึ่งเราสามารถพัฒนาประสิทธิภาพโฆณาของเราได้ต่อไปครับ
หวังว่าแต่และท่านคงจะนำไปใช้ได้หรือมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
หวังว่าแต่และท่านคงจะนำไปใช้ได้หรือมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
ข้อดีของ Google Adwords
• ใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานเพียง 15 นาที ก็สามารถทำการโฆษณาเว็บของคุณได้แล้ว
ไม่ต้องใช้เวลานานมากเหมือน SEO( Search Engine Optimization)
• สามารถเลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณได้ไม่จำกัด
• กำหนดตำแหน่งของโฆษณาได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับราคา Bid ของแต่ละ Keyword
• อัตราการซื้อและกำลังซื้อของผู้เยี่ยมชมสูงกว่า SEO( Search Engine Optimization)
• กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
• ไม่ต้องคิดถึงกฎเกณฑ์ของ Search Engine
• คนที่คลิกโฆษณาของคุณนั้นก็คือผู้ที่สนใจใน บริการหรือสินค้าของคุณจริงๆ ซึ่งมีโอกาส
มากๆ ที่จะมาเป็นลูกค้าของคุณ
• ถ้าไม่มีคนคลิกโฆษณาของคุณ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้กับ Google
• กำหนด Title และ Description ของโฆษณาได้
• ใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานเพียง 15 นาที ก็สามารถทำการโฆษณาเว็บของคุณได้แล้ว
ไม่ต้องใช้เวลานานมากเหมือน SEO( Search Engine Optimization)
• สามารถเลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณได้ไม่จำกัด
• กำหนดตำแหน่งของโฆษณาได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับราคา Bid ของแต่ละ Keyword
• อัตราการซื้อและกำลังซื้อของผู้เยี่ยมชมสูงกว่า SEO( Search Engine Optimization)
• กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
• ไม่ต้องคิดถึงกฎเกณฑ์ของ Search Engine
• คนที่คลิกโฆษณาของคุณนั้นก็คือผู้ที่สนใจใน บริการหรือสินค้าของคุณจริงๆ ซึ่งมีโอกาส
มากๆ ที่จะมาเป็นลูกค้าของคุณ
• ถ้าไม่มีคนคลิกโฆษณาของคุณ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้กับ Google
• กำหนด Title และ Description ของโฆษณาได้
ข้อเสียของ Google Adwords
• ต้องจ่ายค่าบริการให้กับ Google ทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของคุณ
• ราคาของ Keyword มีการขึ้นลงอยู่เสมอ ตามการแข่งขัน
• ต้องจ่ายค่าบริการให้กับ Google ทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของคุณ
• ราคาของ Keyword มีการขึ้นลงอยู่เสมอ ตามการแข่งขัน
ทำไมต้องใช้บริการ Google Adwords
• Google เป็น Search Engine ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดของโลกในขณะนี้ และยังมี
ส่วนแบ่งการตลาดของ Search Engine รายอื่นๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google อีกมาก เช่น
• Google เป็น Search Engine ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดของโลกในขณะนี้ และยังมี
ส่วนแบ่งการตลาดของ Search Engine รายอื่นๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google อีกมาก เช่น
และอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นโฆษณาของคุณมีโอกาสสูงทีเดียวที่จะเข้าถึงเว็บไซด์ชั้นนำของ
โลกเหล่านี้ได้
• ภายใน 15 นาที โฆษณาของคุณจะปรากฎอยู่ในเว็บไซด์ของ Google และเครือข่ายเว็บ-
ไซด์ของคุณจะได้รับทราฟฟิกทันที
• สามารถกำหนดงบประมาณประจำวันได้
• กำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน เช่น ประเทศ ภาษา เมือง
• กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
• แก้ไข Keyword และเปลี่ยนข้อมูลโฆษณาได้ โดยโฆษณาที่แก้ไขแล้วจะแสดงผลในทันที
โลกเหล่านี้ได้
• ภายใน 15 นาที โฆษณาของคุณจะปรากฎอยู่ในเว็บไซด์ของ Google และเครือข่ายเว็บ-
ไซด์ของคุณจะได้รับทราฟฟิกทันที
• สามารถกำหนดงบประมาณประจำวันได้
• กำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน เช่น ประเทศ ภาษา เมือง
• กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
• แก้ไข Keyword และเปลี่ยนข้อมูลโฆษณาได้ โดยโฆษณาที่แก้ไขแล้วจะแสดงผลในทันที
หากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซด์ ที่กำลังขายสินค้าและบริการอยู่ อย่ารอช้าที่จะเรียนรู้โปรแกรม google adwords เพราะโปรแกรมนี้จะทำให้ คุณและลูกค้า มาเจอกันได้โดยตรง แค่ลูกค้าคุณพิมพ์ คำ ? (keywords) ที่เกี่ยวข้อง กับบริการหรือสินค้าคุณ โฆษณาเว็บของคุณ ก็จะปรากฎขึ้นอยู่ด้านบนสุด หรือฝั่งขวามือทันที (ในภาพ)
ทำไม ? คุณถึงต้องทำโฆษณากับกูเกิ้ล นะเหรอ! ง่ายมากครับ เพราะในประเทศไทย พบว่า คนไทยใช้ Google.com ในการค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการต่างๆถึง 98% ดังนั้นถ้าหากโฆษณาเว็บไซต์สินค้าของคุณไปปรากฏบน Google.com ได้ ก็จะช่วยเพิ่มลูกค้าอย่างมากมาย มหาศาล
มี 2 วิธี ที่คุณจะลงโฆษณาเว็บคุณ ให้ปรากฎบนเว็บ google.com ได้คือ
1. คุณ จ่ายเงินให้กับบริษัท หรือตัวแทนโฆษณา ที่รับโปรโมทเว็บผ่านโปรแกรม Google Adwords
2. คุณ ลงมือทำ ด้วยตัวของคุณเอง บนโปรแกรม Google Adwords
1. พยายามใส่ Keywords ไว้ในตัวโฆษณา – เราจะต้องแสดงให้กับผู้ที่ค้นหารู้ว่าตัวโฆษณาของเรานั้นสัมพันธ์กันกับสิ่งที่เค้ากำลังค้นหาอยู่ โดยใส่ Keywords ไว้ในตัวโฆษณาของเราด้วย เพราะว่าทาง Google จะแสดงคีย์เวิร์ดนั้นเป็นตัวหนา แล้วก็จะทำให้ตัวโฆษณาของคุณเห็นมากกว่าของคนอื่นครับ
2. ใช้ Keywords ในแต่ละ Group ไม่มาก – การที่เราใช้ Ad Group แค่ตัวเดียวโดยที่มี Keywords เยอะๆประมาณ 1,000 – 2,000 ตัว ไม่เป็นการดีครับ เพราะว่ามันจะทำให้เรามี CTR ที่ต่ำ แล้วก็จะยากต่อการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ทางที่ดีควรจะแยก Keywords ที่คล้ายๆกันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน และถ้าหากทำแบบนี้แล้วก็จะสามารถทำตามเทคนิคข้อที่ 1 ได้ด้วยครับ
3. ใส่ Bid ในตอนเริ่มโฆษณาให้สูงๆ – เนื่องจากว่าทาง Google นั้นจะจัดอันดับโฆษณาจากราคา Bid และ CTR เพื่อที่จะทำให้ CTR ของเราสูง เราจะต้องใส่ราคา Bid ในตอนเริ่มทดลองสินค้าตัวใหม่ให้มากๆก่อน เพื่อที่จะให้โฆษณาของเราอยู่อันดับ 1 – 8 จากนั้น CTR ของเราจะสูงขึ้นแล้วก็ CPC ของเราจะลดต่ำลงเองครับ
4. ตั้งอัตราค่าโฆษณาต่อวันให้สูงกว่าที่ทาง Google แนะนำ – ถ้าเราตั้งค่าโฆษณาต่อวันน้อยเกินไป โฆษณาของเราอาจจะแสดงไม่ตลอดทั้งวัน และแน่นอนครับเมื่อลูกค้าที่กำลังต้องการสินค้าที่เราขายอยู่เข้ามา แล้วไม่เจอโฆษณาข
องเรา เราก็จะเสียโอกาสนี้ไป วิธีการลดปริมาณการคลิกจากกลุ่มคนที่ไม่ต้องการซื้อของจริงๆ ก็ให้เราใช้ Nagative Keywords , Exact Matches, และกำหนดประเทศในการแสดงโฆษณา
5. หลีกเลี่ยง Keywords ที่มีการแข่งขันสูง – อย่าเสียเงินโดยใช่เหตุโดยการใส่ Bid สูงๆกับ Keywords ที่มีการแข่งขันกันเยอะ ให้เราทำหา Keywords ที่มีคนค้นหาน้อยแต่ว่าหามาหลายๆ Keywords ดีกว่าครับ เพราะว่า Keywords ที่มีคนค้นหาน้อยแต่ว่าหลายตัว ก็จะเท่ากับหรือมากกว่า Keywords ที่มีคนค้นหาเยอะแค่คำเดียว แถมยังมีราคา Bid ถูกมากๆครับ
6. ตั้งราคา Bid ใน Exact Matches Keywords ให้สูงกว่า Keywords แบบอื่น – ให้เราใช้ Exact Matches Keywords ร่วมด้วยกับ Matches แบบอื่นๆ แล้วก็ตั้งราคา Bid ให้สูงกว่าแบบอื่นเล็กน้อย เพราะว่า Google จะให้ความสำคัญกับ Exact Matches Keywords มากกว่า Matches แบบอื่นใน Keywords เดียวกัน เช่นใน group หนึ่งเราตั้งราคา Bid ไว้ที่ 0.10 เราก็กำหนดให้ Bid ของ Exact Matches Keywords เป็น 0.25 ดังตัวอย่างข้างล่างครับ
[online casino] ** 0.25
“online casino”
7. ใช้ Negative Keywords – ตัวโฆษณาของเราจะไม่แสดงถ้าเกิดว่าการค้นหามี Negative Keywords อยู่ด้วย ให้เราใส่ Negative Keywords ไปด้วย เพราะว่ายิ่งมี Negative Keywords มากเท่าไหร่ CTR ของเราก็จะยิ่งเพิ่มมากขั้นไปด้วย เป็นการประหยัดเงินแล้วก็ทำให้ตำแหน่งโฆษณาของเราสูงขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่นสินค้าของเรานั้นเป็นแบบ premium ก็ให้เราใส่ Negative Keywords ที่ไม่เกี่ยวกับ premium ไว้ด้วย
[premium web hosting] ** 0.25
“premium web hosting”
-free
-cheap
-discount
8. ใช้ Landing Page ให้สัมพันธ์กับสินค้า – เพราะว่าถ้าหากลูกค้าคลิกที่โฆษณาแล้วไปที่หน้าที่ขายสินค้าทันที ก็จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่าย อย่าลืมนะครับว่าลูกค้าของเรามีเวลาไม่มากในการค้นหา ถ้าเค้าเจอเว็บที่ไม่เกี่ยวข้องกับความต้องการของเค้า เค้าก็จะปิดเว็บนั้นไป เราก็จะเสียโอกาส
9. แยกการค้นหาแบบ Search และ Content Campaigns – มีหลายๆคนที่เสียเงินโดยใช่เหตุ เพราะว่าไม่ได้แยกการค้นหาแบบ Search และ Content ส่วนมากเราจะไม่รู้จะไม่สังเกตุว่า Google นั้นจะให้โฆษณาของเราไปปรากฏที่ Google Content Network ด้วย เราจะต้องปิดบริการตัวนี้หรือว่าแยกเอาไว้เป็น 2 ส่วน
10. ใช้ Ad หลายๆแผ่นแล้วนำมาเปรีบเทียบ (Split) – Google นั้นให้เราสร้างตัวโฆษณาหลายๆแผ่นใน Ad เดียวกัน ให้เราสร้างตัวโฆษณามาอย่างน้อย 2 แผ่นเพื่อที่จะได้เปรียบเทียบว่าแผ่นไหนดีกว่ากัน ถ้าโฆษณาแผ่นไหนไม่ดีก็ให้ลบทิ้งแล้วก็สร้างใหม่ อาจจะแค่สลับบรรทัดหรือเปลี่ยนคำเป็นบางคำ
11. ติดตามผล – อย่าเชื่อในรายงานของ Google มากนัก ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ว่าข้อมูลแค่นี้ไม่เพียงพอ เพราะว่าอาจจะมีการคลิกแกล้งให้เราเสียเงินแต่ไม่ซื้อสินค้าจากคู่แข่งของเร าได้ ถ้าหากว่าไม่มี Tracking Software ก็ให้เราหาดาวโหลดมาใช้นะครับ
12. ใส่คำที่กระตุ้นให้อยากคลิกไว้ใน Headline – ให้เราเริ่มต้นด้วยคำที่กระตุ้นให้อยากคลิกเข้าไปดูเช่น “Free:, New:, Sale:, ect” แต่เราต้องเช็คด้วยว่าคำที่เราใช้นั้นทาง Google อนุญาตรึเปล่า
13. ใส่คำที่กระตุ้นให้อยากคลิกไว้ในตัวโฆษณา – ให้เราใส่คำที่ดูแล้วน่าคลิกเข้าไปเช่น “free, cheap, sale, special offer, time limited offer, tricks, you, tips, enhance, discover, fact, learn, at last, free shipping, ect.
ตัวอย่างเช่น
* Buy Today – Save 50%
* Download Free Trial Now
* Sale Ends Tomorrow
14. ใส่คำที่ดูแล้วดูดีกว่าคู่แข่งคนอื่น – อะไรที่จะทำให้สินค้าของคุณดูดีกว่าหรือแตกต่างจากคู่แข่ง ให้เราใส่ไปในข้อความโฆษณาด้วย ตัวอย่างเช่นเว็บไซต์ Amazon.com จะเขียนข้อความไว้ในบรรทัดแรกว่า “Earth’s Biggest Bookstore” นี่เป็นคำที่ดูแล้วน่าเข้าไปดูในเว็บไซต์มาก
15. เอาคำที่ไม่มีประโยชน์ออก – ตัวอย่างเช่น “a, an, in, on, it, of” อย่าใส่คำพวกนี้ลงไปในตัวโฆษณา เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองคำเปล่าๆ
2. ใช้ Keywords ในแต่ละ Group ไม่มาก – การที่เราใช้ Ad Group แค่ตัวเดียวโดยที่มี Keywords เยอะๆประมาณ 1,000 – 2,000 ตัว ไม่เป็นการดีครับ เพราะว่ามันจะทำให้เรามี CTR ที่ต่ำ แล้วก็จะยากต่อการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ทางที่ดีควรจะแยก Keywords ที่คล้ายๆกันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน และถ้าหากทำแบบนี้แล้วก็จะสามารถทำตามเทคนิคข้อที่ 1 ได้ด้วยครับ
3. ใส่ Bid ในตอนเริ่มโฆษณาให้สูงๆ – เนื่องจากว่าทาง Google นั้นจะจัดอันดับโฆษณาจากราคา Bid และ CTR เพื่อที่จะทำให้ CTR ของเราสูง เราจะต้องใส่ราคา Bid ในตอนเริ่มทดลองสินค้าตัวใหม่ให้มากๆก่อน เพื่อที่จะให้โฆษณาของเราอยู่อันดับ 1 – 8 จากนั้น CTR ของเราจะสูงขึ้นแล้วก็ CPC ของเราจะลดต่ำลงเองครับ
4. ตั้งอัตราค่าโฆษณาต่อวันให้สูงกว่าที่ทาง Google แนะนำ – ถ้าเราตั้งค่าโฆษณาต่อวันน้อยเกินไป โฆษณาของเราอาจจะแสดงไม่ตลอดทั้งวัน และแน่นอนครับเมื่อลูกค้าที่กำลังต้องการสินค้าที่เราขายอยู่เข้ามา แล้วไม่เจอโฆษณาข
องเรา เราก็จะเสียโอกาสนี้ไป วิธีการลดปริมาณการคลิกจากกลุ่มคนที่ไม่ต้องการซื้อของจริงๆ ก็ให้เราใช้ Nagative Keywords , Exact Matches, และกำหนดประเทศในการแสดงโฆษณา
5. หลีกเลี่ยง Keywords ที่มีการแข่งขันสูง – อย่าเสียเงินโดยใช่เหตุโดยการใส่ Bid สูงๆกับ Keywords ที่มีการแข่งขันกันเยอะ ให้เราทำหา Keywords ที่มีคนค้นหาน้อยแต่ว่าหามาหลายๆ Keywords ดีกว่าครับ เพราะว่า Keywords ที่มีคนค้นหาน้อยแต่ว่าหลายตัว ก็จะเท่ากับหรือมากกว่า Keywords ที่มีคนค้นหาเยอะแค่คำเดียว แถมยังมีราคา Bid ถูกมากๆครับ
6. ตั้งราคา Bid ใน Exact Matches Keywords ให้สูงกว่า Keywords แบบอื่น – ให้เราใช้ Exact Matches Keywords ร่วมด้วยกับ Matches แบบอื่นๆ แล้วก็ตั้งราคา Bid ให้สูงกว่าแบบอื่นเล็กน้อย เพราะว่า Google จะให้ความสำคัญกับ Exact Matches Keywords มากกว่า Matches แบบอื่นใน Keywords เดียวกัน เช่นใน group หนึ่งเราตั้งราคา Bid ไว้ที่ 0.10 เราก็กำหนดให้ Bid ของ Exact Matches Keywords เป็น 0.25 ดังตัวอย่างข้างล่างครับ
[online casino] ** 0.25
“online casino”
7. ใช้ Negative Keywords – ตัวโฆษณาของเราจะไม่แสดงถ้าเกิดว่าการค้นหามี Negative Keywords อยู่ด้วย ให้เราใส่ Negative Keywords ไปด้วย เพราะว่ายิ่งมี Negative Keywords มากเท่าไหร่ CTR ของเราก็จะยิ่งเพิ่มมากขั้นไปด้วย เป็นการประหยัดเงินแล้วก็ทำให้ตำแหน่งโฆษณาของเราสูงขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่นสินค้าของเรานั้นเป็นแบบ premium ก็ให้เราใส่ Negative Keywords ที่ไม่เกี่ยวกับ premium ไว้ด้วย
[premium web hosting] ** 0.25
“premium web hosting”
-free
-cheap
-discount
8. ใช้ Landing Page ให้สัมพันธ์กับสินค้า – เพราะว่าถ้าหากลูกค้าคลิกที่โฆษณาแล้วไปที่หน้าที่ขายสินค้าทันที ก็จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่าย อย่าลืมนะครับว่าลูกค้าของเรามีเวลาไม่มากในการค้นหา ถ้าเค้าเจอเว็บที่ไม่เกี่ยวข้องกับความต้องการของเค้า เค้าก็จะปิดเว็บนั้นไป เราก็จะเสียโอกาส
9. แยกการค้นหาแบบ Search และ Content Campaigns – มีหลายๆคนที่เสียเงินโดยใช่เหตุ เพราะว่าไม่ได้แยกการค้นหาแบบ Search และ Content ส่วนมากเราจะไม่รู้จะไม่สังเกตุว่า Google นั้นจะให้โฆษณาของเราไปปรากฏที่ Google Content Network ด้วย เราจะต้องปิดบริการตัวนี้หรือว่าแยกเอาไว้เป็น 2 ส่วน
10. ใช้ Ad หลายๆแผ่นแล้วนำมาเปรีบเทียบ (Split) – Google นั้นให้เราสร้างตัวโฆษณาหลายๆแผ่นใน Ad เดียวกัน ให้เราสร้างตัวโฆษณามาอย่างน้อย 2 แผ่นเพื่อที่จะได้เปรียบเทียบว่าแผ่นไหนดีกว่ากัน ถ้าโฆษณาแผ่นไหนไม่ดีก็ให้ลบทิ้งแล้วก็สร้างใหม่ อาจจะแค่สลับบรรทัดหรือเปลี่ยนคำเป็นบางคำ
11. ติดตามผล – อย่าเชื่อในรายงานของ Google มากนัก ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ว่าข้อมูลแค่นี้ไม่เพียงพอ เพราะว่าอาจจะมีการคลิกแกล้งให้เราเสียเงินแต่ไม่ซื้อสินค้าจากคู่แข่งของเร าได้ ถ้าหากว่าไม่มี Tracking Software ก็ให้เราหาดาวโหลดมาใช้นะครับ
12. ใส่คำที่กระตุ้นให้อยากคลิกไว้ใน Headline – ให้เราเริ่มต้นด้วยคำที่กระตุ้นให้อยากคลิกเข้าไปดูเช่น “Free:, New:, Sale:, ect” แต่เราต้องเช็คด้วยว่าคำที่เราใช้นั้นทาง Google อนุญาตรึเปล่า
13. ใส่คำที่กระตุ้นให้อยากคลิกไว้ในตัวโฆษณา – ให้เราใส่คำที่ดูแล้วน่าคลิกเข้าไปเช่น “free, cheap, sale, special offer, time limited offer, tricks, you, tips, enhance, discover, fact, learn, at last, free shipping, ect.
ตัวอย่างเช่น
* Buy Today – Save 50%
* Download Free Trial Now
* Sale Ends Tomorrow
14. ใส่คำที่ดูแล้วดูดีกว่าคู่แข่งคนอื่น – อะไรที่จะทำให้สินค้าของคุณดูดีกว่าหรือแตกต่างจากคู่แข่ง ให้เราใส่ไปในข้อความโฆษณาด้วย ตัวอย่างเช่นเว็บไซต์ Amazon.com จะเขียนข้อความไว้ในบรรทัดแรกว่า “Earth’s Biggest Bookstore” นี่เป็นคำที่ดูแล้วน่าเข้าไปดูในเว็บไซต์มาก
15. เอาคำที่ไม่มีประโยชน์ออก – ตัวอย่างเช่น “a, an, in, on, it, of” อย่าใส่คำพวกนี้ลงไปในตัวโฆษณา เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองคำเปล่าๆ
16. ใส่ราคาลงไปในตัวโฆษณาด้วย – เพราะว่าจะทำให้คนที่ไม่มีศักยภาพในการซื้อไม่คลิกที่ตัวโฆษณาของเรา
บทความและรูปภาพจากเว็บไซต์ thtfreeweb.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น